เครื่องหมายและสัญลักษณ์ทางดนตรีสากล
เครื่องหมายและสัญลักษณ์ทางดนตรีเป็นหัวใจของการสื่อสารในภาษาดนตรี เปรียบได้กับภาษาเขียนที่ใช้ตัวอักษารเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร ในที่นี้จะกล่าวถึงการบันทึกโน้ตในระะบปัจจุบันเท่านั้น รวมถึงการใช้สัญลักษณ์ซึ่งเป็นที่รู้จักและยอมรับกันโดยทั่วไปในระดับสากล ได้แก่ เครื่องหมายกำหนดจังหวะ เครื่องหมายกำหนดบันไดเสียง และขั้นคู่เสียง
1. เครื่องหมายกำหนดจังหวะ (Time signature)
เครื่องหมายชนิดนนี้บางตำราเรียกว่า "เครื่องหมายประจำจังหวะ" หรือ "มีเตอร์" (Meter) ซึ่งทุกชื่อล้วนสื่อความหมายเดียวกัน มักเป็นเครื่องหมายตัวเลข 2 ตัว วางซ้อนกันคล้ายเลขเศษส่วน ใช้บันทึกไว้หลังเครื่องหมายกุญแจประจำหลัก เฉพาะที่ห้องแรกของบทเพลงที่จะใช้เครื่องหมายนี้กำกับ เครื่องหมายนี้เป็นตัวกำหนดจำนวนจังหวะเคาะ หรือ บีตส์ (Beats) ที่จะต้องรวมกลุ่มกันอยู่ในแต่ละห้อง (Bar หรือ Measure) ของบทเพลง และยังช่วยสื่อการลงจังหวะ หนัก - เบาในห้องเพลงนั้นๆ อีกด้วย
2. บันไดเสียง (Scale)
คำว่า บันไดเสียง แปลว่า Scale ซึ่งมาจากภาษาอิตาเลียนว่า "Scala" แปลว่า ขั้นบันได ตำราภาษาไทยบางตำราเรียกว่า มาตราเสียง บางตำราใช้ทับศัพท์ว่า สเกลเสียง เพื่อป้องกันความสับสนกับคำว่า กุญแจ (Key) ซึ่งบางตำราก็แปลว่า บันไดเสียง เช่นเดียวกัน
บันไดเสียง คือ เสียงดนตรีที่เรียงไว้ตามลำดับจากเสียงต่ำไปหาเสียงสูง หรือจากเสียงสูงลงมาหาเสียงต่ำ ระยะความห่างของเสียงแต่ละลำดับขั้นบันไดเสียงแต่ละชุดจะห่างกันครึ่งเสียงหรือห่างกันเต็มเสียงคละกัน ทั้งนี้ จะขึ้นอยู่กับลักษณะวิธีการเรียงเสียงของบันไดเสียงแต่ละประเภทที่กำหนดไว้ ซึ่งบันไดเสียงมีประโยชน์ดังต่อไปนี้
2.1 ใช้เป็นพื้นฐานใรนการฝึกหัดเครื่องดนตรีและการร้องเพลง ตามแบบบันไดเสียงชนิดต่างๆ ซึ่งจะทำให้ผู้ฝึกปฏิบัติเข้าใจเรื่องระดับเสียงของเสียงดนตรีได้รวดเร็วขึ้น เล่นเครื่องดนตรีหรือร้องเพลงเป็นเร้ว และมีความไพเราะมากยิ่งขึ้น
2.2 ใช้เป็นพื้นฐานในการสร้างคอร์ด (Chord) ต่างๆ คอร์ดหมายถึง กลุ่มเสียงดนตรีระดับเสียงต่างๆ ตั้งแต่ 3 เสียงขึ้นไป ที่เปล่งออกมาพร้อมๆกัน ซึ่งมีทั้งที่กลมกลืนและไม่กลมกลืนกัน คอร์ดจะัทำให้เสียงดนตรีนำ หรือแนวทำนอง หรือเสียงร้องเพลงมีความไพเราะน่าฟังมากยิ่งขึ้น
2.3 ใช้เป็นพื้นฐานในการแต่งเพลงตามแนวสากล
บันไดเสียงสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังต่อไปนี้
2.3.1 บันไดเสียงโครมาติก (Chromatic Scale) เป็นบันไดเสียงที่มีระดับขั้นของเสียงห่างกันครึ่งเสียงเรียงลำดับไปทุกขั้น มีเสียงเรียงกัน 13 ขั้น เป็น 1 ชุด
1. เครื่องหมายกำหนดจังหวะ (Time signature)
เครื่องหมายชนิดนนี้บางตำราเรียกว่า "เครื่องหมายประจำจังหวะ" หรือ "มีเตอร์" (Meter) ซึ่งทุกชื่อล้วนสื่อความหมายเดียวกัน มักเป็นเครื่องหมายตัวเลข 2 ตัว วางซ้อนกันคล้ายเลขเศษส่วน ใช้บันทึกไว้หลังเครื่องหมายกุญแจประจำหลัก เฉพาะที่ห้องแรกของบทเพลงที่จะใช้เครื่องหมายนี้กำกับ เครื่องหมายนี้เป็นตัวกำหนดจำนวนจังหวะเคาะ หรือ บีตส์ (Beats) ที่จะต้องรวมกลุ่มกันอยู่ในแต่ละห้อง (Bar หรือ Measure) ของบทเพลง และยังช่วยสื่อการลงจังหวะ หนัก - เบาในห้องเพลงนั้นๆ อีกด้วย
2. บันไดเสียง (Scale)
คำว่า บันไดเสียง แปลว่า Scale ซึ่งมาจากภาษาอิตาเลียนว่า "Scala" แปลว่า ขั้นบันได ตำราภาษาไทยบางตำราเรียกว่า มาตราเสียง บางตำราใช้ทับศัพท์ว่า สเกลเสียง เพื่อป้องกันความสับสนกับคำว่า กุญแจ (Key) ซึ่งบางตำราก็แปลว่า บันไดเสียง เช่นเดียวกัน
บันไดเสียง คือ เสียงดนตรีที่เรียงไว้ตามลำดับจากเสียงต่ำไปหาเสียงสูง หรือจากเสียงสูงลงมาหาเสียงต่ำ ระยะความห่างของเสียงแต่ละลำดับขั้นบันไดเสียงแต่ละชุดจะห่างกันครึ่งเสียงหรือห่างกันเต็มเสียงคละกัน ทั้งนี้ จะขึ้นอยู่กับลักษณะวิธีการเรียงเสียงของบันไดเสียงแต่ละประเภทที่กำหนดไว้ ซึ่งบันไดเสียงมีประโยชน์ดังต่อไปนี้
2.1 ใช้เป็นพื้นฐานใรนการฝึกหัดเครื่องดนตรีและการร้องเพลง ตามแบบบันไดเสียงชนิดต่างๆ ซึ่งจะทำให้ผู้ฝึกปฏิบัติเข้าใจเรื่องระดับเสียงของเสียงดนตรีได้รวดเร็วขึ้น เล่นเครื่องดนตรีหรือร้องเพลงเป็นเร้ว และมีความไพเราะมากยิ่งขึ้น
2.2 ใช้เป็นพื้นฐานในการสร้างคอร์ด (Chord) ต่างๆ คอร์ดหมายถึง กลุ่มเสียงดนตรีระดับเสียงต่างๆ ตั้งแต่ 3 เสียงขึ้นไป ที่เปล่งออกมาพร้อมๆกัน ซึ่งมีทั้งที่กลมกลืนและไม่กลมกลืนกัน คอร์ดจะัทำให้เสียงดนตรีนำ หรือแนวทำนอง หรือเสียงร้องเพลงมีความไพเราะน่าฟังมากยิ่งขึ้น
2.3 ใช้เป็นพื้นฐานในการแต่งเพลงตามแนวสากล
บันไดเสียงสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังต่อไปนี้
2.3.1 บันไดเสียงโครมาติก (Chromatic Scale) เป็นบันไดเสียงที่มีระดับขั้นของเสียงห่างกันครึ่งเสียงเรียงลำดับไปทุกขั้น มีเสียงเรียงกัน 13 ขั้น เป็น 1 ชุด
2.3.2 บันไดเสียงไดอะทอนิก (Diatonic Scale) เป็นบันไดเสียงที่มีระดับขั้นของเสียงห่างกันเต็มเสียงและครึ่งเสียงคละกันอย่างเป็นระบบ มีเสียงเรียงกัน 8 ขั้น เป็น 1 ชุด และแบ่งออกเป็น 2 หมวด คือ
2.3.2.1 บันไดเสียงไดอะทอนิก หมวดเมเจอร์ (Diatomic Major Scale) เรียกย่อๆว่า บันไดเสียงเมเจอร์ (Major Scale) มีระดับขั้นของเสียงห่างกัน คือ 1 - 2, 2 - 3 , 4 - 5, 5 - 6 , 6 - 7 ห่างกัน 1เสียงเต็ม (Tone) เสียงขั้นที่ 3 - 4 และ 7 - 8 ห่างกันครึ่งเสียง (Semitone) ทั้งขาขึ้นและขาลง
2.3.2.2 บันไดเสียงไดอะทอนิก หมวดไมเนอร์ (Diatonic Minor Scale ) เรียกย่อๆว่า บันไดเสียงไมเนอร์ (Minor Scale) สามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
1) บันไดเสียงฮาร์มอนิกไมเนอร์ (Hamonic Minor Scale) มีระดับขั้นของเสียงห่างกันดังต่อไปนี้ คือ เสียงขั้นที่ 1 -2 , 3- 4 , 4 - 5 ห่างกันเต็มเสียง เสียงขั้นที่ 2 - 3, 5 - 6 , 7 - 8 ห่างกันครึ่งเสียง เสียงขั้นที่ 6 - 7 ห่างกันหนึ่งเสียงครึ่งทั้งขาขึ้นและขาลง
2) บันไดเสียงเมโลติกไมเนอร์ (Melodic Minor Scale ) มีระดับขั้นของเสียงห่างกัน คือ ขาขึ้นเสียงขั้นที่ 1 - 2 , 3 - 4 , 4 - 5 , 5 - 6 , 6 - 7 ห่างกันเต็มเสียง เสียงขั้นที่ 2 - 3 , 7 - 8 ห่างกันครึ่งเสียง ขาลงเสียงขั้นที่ 8 - 7 , 7 - 6, 5 - 4 , 4 - 3 , 2 - 1 , ห่างกันเต็มเสียง เสียงขั้นที่ 6 - 5 , 3 - 2 ห่างกันครึ่งเสียง
3. ขั้นคู่เสียง
คำว่า ขั้นคู่เสียง นี้ เรียกตามตำราวิชาดนตรีแบบดั้งเดิม ถ้าจะเรียกให้สื่อความหมายให้ชัดเจนควรเรียกว่า ระยะระหว่างเสียง เพราะสาระของคำว่า อินเทอร์เวิล (Intervals) นี้ หมายถึง ระยะทาง (Distance) หรือระยะห่างระหว่างระดับเสียงคู่หนึ่ง ซึ่งนับหน่วยเป็นเซมิโทน (Semitone) หรือครึ่งเสียงที่นำมาใช้ร่วมกัน ซึ่งอาจใช้บรรเลงพร้อมกันเพื่อประสานเสียงในแนวตั้ง
3.1 วิธีการเรียกขั้นคู่เสียง การเรียกชื่อขั้นคู่เสียงสามารถเรียกได้ 2 ลักษณะ คือ เรียกชื่อเป็นตัวเลข (Numberical Names) และเรียกชื่อบอกคุณภาพเสียง (Qualitying Names)
1) เรียกชื่อเป็นตัวเลข (Numberical Names) ให้เริ่มนับจากเส้นหรือช่องที่โน้ตตัวแรกอยู่ แล้วนับต่อไปจนถึงเส้น หรือช่องที่โน้ตตัวที่ 2 อยู่ จะได้ชื่อนั้นเป็นจำนวนตัวเลข เช่น เมื่อใช้เสียง C เป็นหลัก และใช้เสียงอื่นในอนุกรมของระดับเสียงในบันไดเสียงซี เมเจอร์ (C Major) มาเป็นเสียงที่ 2 ก็จะได้ขั้นคู่เสียงที่มีชื่อเฉพาะเป็นตัวเลข
2) เรียกชื่อบอกคุณภาพเสียง ฺ (Qualifying Names) คู่เสียงหมายเลขต่างๆล้วนมีคุณภาพเสียงที่มีความแตกต่างกันออกไปและมีชื่อเรียกเฉพาะ ดังต่อไปนี้
ขั้นคู่เสียง
|
1
|
2
|
3
|
4
|
5
|
6
|
7
|
8
|
ชื่อบอก
คุณภาพ
|
Perfect
|
Major
|
Major
|
Perfect
|
Perfect
|
Major
|
Major
|
Perfect
|
ระยะห่างเป็นครึ่งเสียง
|
0
|
2
|
4
|
5
|
7
|
9
|
11
|
12
|
ทั้งนี้ การเรียกชื่อขั้นคู่เสียงต้องเรียกพร้อมกันทั้ง 2 ชื่อเสมอ ทั้งชื่อที่เป็นจำนวนเลขและชื่อคุณภาพเสียง เช่น
ขั้นคู่เสียง
|
ระยะห่าง
|
ชื่อเรียก
|
C – C
|
ระดับเดียวกัน
|
คู่ 1 ยูนิซั่น
|
C – D
|
2 โน้ต
|
คู่ 2 เมเจอร์
|
C – E
|
3 โน้ต
|
คู่ 3 เมเจอร์
|
C – F
|
4 โน้ต
|
คู่ 4 เพอร์เฟกต์
|
C – G
|
5 โน้ต
|
คู่ 5 เพอร์เฟกต์
|
C – A
|
6 โน้ต
|
คู่ 6 เมเจอร์
|
C – B
|
7 โน้ต
|
คู่ 7 เมเจอร์
|
C - C
|
8 โน้ต
|
คู่ 8 เพอร์เฟกต์
|
3.2 คุณภาพเสียง ขั้นคู่เสียงแต่ละชื่อให้คุณภาพเสียงที่แตกต่างกัน ซึ่งคุณภาพของคู่เสียงมีส่วนสำคัญในการถ่ายทอดอารมณ์เพลง ดดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1) คู่เสียงกลมกลืน (Consonance) เป็นคู่เสียงที่ให้ความรืื่นหูและไพเราะ น่าฟัง มีความเป็นอิสระ นำไปใช้กับคู่เสียงอื่่นได้ดี ได้แก่ ขั้นคู่ 1 ขั้นคู่ 8 ขั้นคู่ 4 ขั้นคู่ 5 ขั้นคู 3 และขั้นคู่ 6 ทั้งที่เป็นคู่เพอร์เฟกต์ (Perfect) คู่เมเจอร์ (Major) และคู่ไมเนอร์ (Minor)
2) คู่เสียงกระด้าง (Dissonance) เป็นขั้นคู่เสียงที่เสียงกระด้าง ไม่ชวนฟัง เมื่อฟังแล้วจะรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ ขาดความไพเราะ ได้แก่ ขั้นคู่ 2 ขั้นคู่ 7 ทุกชนิด และขั้นคู่ที่เป็นออกเมนเทด (Augmented) และ ดิมินิชต์ ( Diminished) ทั้งหมด
4. ทรัยแอด
ทรัยแอด คือ ขั้นคู่ 3 ที่สร้างซ้อนกัน 2 ครั้ง บนโน้ตที่เป็นบาน หรือโน้ตพื้นต้น (Root) ทรัยแอดจะประกอบด้วยเสียง 3 เสียง และจัดเป็นคอร์ดที่มีความซับซ้อนน้อยที่สุด ทรัยแอดสามารถแบ่ง 4 ชนิด คือ
4.1 เมเจอร์ทรัยแอด (Major Triad) มีโครงสร้างดังต่อไปนี้
ขั้นที่ 1 - 3 เป็นขั้นคู่ 3 เมเจอร์ ( M3)
ขั้นคู่ 1 - 5 เป็นขั้นคู่ 5 เพอร์เฟกต์ (P5)
4.2 ไมเนอร์ทรัยแอด (Minor Triad) มีโครงสร้างดังนี้
ขั้นที่ 1 - 3 เป็นขั้นคู่ไมเนอร์ (m3)
ขั้นที่ 1 - 5 เป็นขั้นคู่เพอร์เฟกต์ (P5)
4.3 ออกเมนเทดทรัยแอด (Augmented Triad) มีโครงสร้า่งดังต่อไปนี้
ขั้นที่ 1 - 5 เป็นขั้นคู่ 5 ออกเมนเทด (A5)
4.4 ดิมินิชด์ทรัยแอด (Diminished Triad ) มีโครงสร้างดังต่อไปนี้
ขั้นที่ 1 - 3 เป็นขั้นคู่ 3 ไมเนอร์ (m3)
ขั้นที่ 1 - 5 เป็นขั้นคู่ 5 ดิมินิชด์ (D5)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น