การฝึกเป่าโหวด
ผู้ฝึกเป่าโหวดควรฝึกตามลำดับ ดังนี้
1. การจับโหวด ให้ใช้มือที่ถนัด (มือขวาหรือมือซ้าย) มือที่จับให้ส่วนนิ้วหัวแม่มือแตะที่ลูกยาวที่สุด (ลูกที่ 1 ) โดยให้นิ้วหัวแม่มือชี้ขึ้น ส่วนนิ้วที่เหลือจับตัวโหวดตามความถนัดของผู้ฝึกเป่า ส่วนหางใช้มือข้างถนัดจับโหวด ดดยให้ส่วนหัวของโหวดอยู่บริเวณร่องคางของผู้ฝึกทำมุมประมาณ 45 องศา แล้วลองหมุนตัวโหวดไปทางซ้ายและทางขวากลับไปกลับมาหลายๆเที่ยว จนทำได้คล่องแคล่วโดยโหวดไม่หลุดจากร่องคาง การหมุนโหวดให้ใช้ข้อมือเท่านั้น ไม่ควรใช้ทั้งแขนเพราะจะทำให้ทิศทางลมที่เป่าไม่มีความสม่ำเสมอ ลักษณะการเป่าคล้ายกับการเป่าปากขวด โหวดที่ใช้ฝึกในแบบฝึกหัดนี้ใช้โหวด ระบบ 5 เสียง ลายใหญ๋ (Am) มี 12 ลูก เริ่มจากลูกที่ 1 -12 ดังนี้ 1. มี (E) 2.ซอล(G) 3. ลา(A) 4.โด(C) 5. เร(D) 6.มี(E) 7.ซอล(G) 8.ลา(A) 9.โด(C) 10.เร(D) 11.มี(E) 12.ซอล(G)
2. เริ่มฝึกเป่าเสียงโดยทำความเข้าใจและปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้
2.1 จับโหวดด้วยมือที่ถนัดและวางที่ร่องคางอย่างวบายและโดยให้ตำแหน่งของลูกโหวดที่เสียงต่ำที่สุดอยู่ตรงริมฝีปาก
2.2 สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเก็บลมให้ได้มากที่สุด ให้หายใจเข้าทางปากอย่ารวดเร็ว สังเกตท้องจะป่องและพยายามอย่ายกไหล่ ขณะที่หายใจเข้าท้อง ให้ปากมีลักษณะกลม
2.3 ควรฝึกเป่าลมออกจากริมฝีปาก โดยใช้ริมฝีปากบังคับปริมาณของลมที่เป่าออกกล่าวคือ ลูกใหญ่ใช้ลมมากและต้องใช้ริมฝีปากบังคับให้ลมผ่านออกมาเบาๆ ดดยริมฝีปากกว้างเพื่อให้ลมเข้าไปในรูลุกโหวดพอดี ลูกต่อไปจะใช้ลมน้อยลงตามขนาดของลูกโหวดคือยิ่งเล็กลมที่ใช้ยิ่งน้อยตามไปด้วย การฝึกเป่าเสียงแรก ตรงกับโน้ตตัว มี(E) ค่อยๆเป่าลมออกทีละน้อยอย่างสม่ำเสมอให้ได้เสียงที่ชัดเจนที่สุด ถ้ายังไม่ได้เสียงที่ต้องการให้ค่อยๆใช้ข้อมือหมุนโหวดหาตำแหน่งของเสียง จนได้เสียงที่ต้องการ เมื่อลมจะหมดให้รีบหายใจเข้าอย่างรวดเร็ว ไม่ควรปล่อยให้ลมหมดก่อนค่อยหายใจ เพราะมีผลทำให้หางเสียงไม่นิ่งและลมไม่สม่ำเสมอ
2.4 ให้ฝึกเป่าเสียงเดียวก่อน ดดยพยายามให้เสียงกังวานมีคุณภาพ โดยมีหลักวิธี คือ ไม่ควรกระแทกเสียงเวลาเป่า และ พยายามควบคุมลมที่เป่าให้สม่ำเสมอโดยต้องใช้ลมจากท้อง หรือกระบังลมเท่านั้นไม่ควรใช้ลมจากป่องแก้มเพราะควบคุมลมได้ยาก ฝึกเป่าให้เสียงเบาที่สุดและดังที่สุด โดยรักษาคุณภาพของเสียงให้ดี การฝึกซ้อมแต่ละครั้งต้องมีความอดทน ตั้งใจและพยายามจดจำขั้นตอนต่างๆให้ดี
3. ควรฝึกเป่าเสียงที่อยู่ถัดไปก่อน ดดยฝึกเหมือนลุกที่ 1 เสียง มี (E) และให้ได้เสียงที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับเสียงที่ 1 เสียง (E) มากที่สุด เวลาเป่าลูกดดให้นึกชื่อของโน้ตที่เป่าทุกครั้ง และควรฝึกจนครบทุกเสียง
4.เริ่มฝึกเป่าโหวดเข้ากับจังหวะ ดดยเริ่มเป่าที่เสียงต่ำที่สุดไปหาเสียงที่สุงที่สุดจนครบทุกเสียงโดยฝึกตามแบบฝึกหัด
1. การจับโหวด ให้ใช้มือที่ถนัด (มือขวาหรือมือซ้าย) มือที่จับให้ส่วนนิ้วหัวแม่มือแตะที่ลูกยาวที่สุด (ลูกที่ 1 ) โดยให้นิ้วหัวแม่มือชี้ขึ้น ส่วนนิ้วที่เหลือจับตัวโหวดตามความถนัดของผู้ฝึกเป่า ส่วนหางใช้มือข้างถนัดจับโหวด ดดยให้ส่วนหัวของโหวดอยู่บริเวณร่องคางของผู้ฝึกทำมุมประมาณ 45 องศา แล้วลองหมุนตัวโหวดไปทางซ้ายและทางขวากลับไปกลับมาหลายๆเที่ยว จนทำได้คล่องแคล่วโดยโหวดไม่หลุดจากร่องคาง การหมุนโหวดให้ใช้ข้อมือเท่านั้น ไม่ควรใช้ทั้งแขนเพราะจะทำให้ทิศทางลมที่เป่าไม่มีความสม่ำเสมอ ลักษณะการเป่าคล้ายกับการเป่าปากขวด โหวดที่ใช้ฝึกในแบบฝึกหัดนี้ใช้โหวด ระบบ 5 เสียง ลายใหญ๋ (Am) มี 12 ลูก เริ่มจากลูกที่ 1 -12 ดังนี้ 1. มี (E) 2.ซอล(G) 3. ลา(A) 4.โด(C) 5. เร(D) 6.มี(E) 7.ซอล(G) 8.ลา(A) 9.โด(C) 10.เร(D) 11.มี(E) 12.ซอล(G)
2. เริ่มฝึกเป่าเสียงโดยทำความเข้าใจและปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้
2.1 จับโหวดด้วยมือที่ถนัดและวางที่ร่องคางอย่างวบายและโดยให้ตำแหน่งของลูกโหวดที่เสียงต่ำที่สุดอยู่ตรงริมฝีปาก
2.2 สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเก็บลมให้ได้มากที่สุด ให้หายใจเข้าทางปากอย่ารวดเร็ว สังเกตท้องจะป่องและพยายามอย่ายกไหล่ ขณะที่หายใจเข้าท้อง ให้ปากมีลักษณะกลม
2.3 ควรฝึกเป่าลมออกจากริมฝีปาก โดยใช้ริมฝีปากบังคับปริมาณของลมที่เป่าออกกล่าวคือ ลูกใหญ่ใช้ลมมากและต้องใช้ริมฝีปากบังคับให้ลมผ่านออกมาเบาๆ ดดยริมฝีปากกว้างเพื่อให้ลมเข้าไปในรูลุกโหวดพอดี ลูกต่อไปจะใช้ลมน้อยลงตามขนาดของลูกโหวดคือยิ่งเล็กลมที่ใช้ยิ่งน้อยตามไปด้วย การฝึกเป่าเสียงแรก ตรงกับโน้ตตัว มี(E) ค่อยๆเป่าลมออกทีละน้อยอย่างสม่ำเสมอให้ได้เสียงที่ชัดเจนที่สุด ถ้ายังไม่ได้เสียงที่ต้องการให้ค่อยๆใช้ข้อมือหมุนโหวดหาตำแหน่งของเสียง จนได้เสียงที่ต้องการ เมื่อลมจะหมดให้รีบหายใจเข้าอย่างรวดเร็ว ไม่ควรปล่อยให้ลมหมดก่อนค่อยหายใจ เพราะมีผลทำให้หางเสียงไม่นิ่งและลมไม่สม่ำเสมอ
2.4 ให้ฝึกเป่าเสียงเดียวก่อน ดดยพยายามให้เสียงกังวานมีคุณภาพ โดยมีหลักวิธี คือ ไม่ควรกระแทกเสียงเวลาเป่า และ พยายามควบคุมลมที่เป่าให้สม่ำเสมอโดยต้องใช้ลมจากท้อง หรือกระบังลมเท่านั้นไม่ควรใช้ลมจากป่องแก้มเพราะควบคุมลมได้ยาก ฝึกเป่าให้เสียงเบาที่สุดและดังที่สุด โดยรักษาคุณภาพของเสียงให้ดี การฝึกซ้อมแต่ละครั้งต้องมีความอดทน ตั้งใจและพยายามจดจำขั้นตอนต่างๆให้ดี
3. ควรฝึกเป่าเสียงที่อยู่ถัดไปก่อน ดดยฝึกเหมือนลุกที่ 1 เสียง มี (E) และให้ได้เสียงที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับเสียงที่ 1 เสียง (E) มากที่สุด เวลาเป่าลูกดดให้นึกชื่อของโน้ตที่เป่าทุกครั้ง และควรฝึกจนครบทุกเสียง
4.เริ่มฝึกเป่าโหวดเข้ากับจังหวะ ดดยเริ่มเป่าที่เสียงต่ำที่สุดไปหาเสียงที่สุงที่สุดจนครบทุกเสียงโดยฝึกตามแบบฝึกหัด
ที่มา : คู่มือศึกษาดนตรีพื้นบ้านอีสาน โรงเรียนพลาญชัยพิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด
(ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ร้อยเอ็ด)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น