ทัศนธาตุ ม.4
ทัศนธาตุ (Visual Elements)
หมายถึง ส่วนประกอบของการมองเห็นซึ่งประกอบไปด้วยจุด เส้น รูปร่าง รูปทรง น้ำหนักอ่อน - แก่ พื้นที่ว่าง พื้นผิว และสี ในการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์แขนงใดก็ตาม ล้วนแต่ต้องใช้องค์ประกอบต่างๆ ดังกล่าวของทัสนธาตุ นำมาออกแบบจัดวางให้ผสมผสานกันตามหลักการออกแบบด้วยกันทั้งสิ้น
องค์ประกอบของทัศนธาตุ
ทัศนธาตุ หรือองค์ประกอบศิลป์ที่เป็นพื้นฐานในการนำไปใช้ เพื่อการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ จะประกอบไปด้วย จุด เส้น รูปร่าง รูปทรง ลักษณะผิว พื้นที่ว่าง น้ำหนักอ่อน - แก่ แสงเงา และสี ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
1. จุด (Point , Dot) เป็นส่วนที่เล็กที่สุดในผลงาน เป็นต้นกำเนิดของเส้น รูปร่าง รูปทรง แสงเงา และพื้นผิว ถ้านำจุดมาวางเรียงต่อกัน และทำซ้ำๆ จะเกิดเป็นเส้น หรือถ้านำจุดมาวางรวมกลุ่มกันให้เหมาะสม จะเกิดเป็นรูปร่าง รูปทรง พื้นผิว และแสงเงาได้
2. เส้น (Line) มีผลต่อการรับรู้และช่วยกระตุ้นให้เกิดอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ เส้นเป็นพื้นฐานสำคัญของการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ทุกแขนง โดยเฉพาะใช้ในการร่างภาพ เพื่อถ่ายทอดสิ่งที่มองเห็นหรือสิ่งที่จินตนาการสื่ออกมาเป็นภาพ
เส้นแบ่งตามลักษณะใหญ่ๆ ได้ 5 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดให้คุณค่าและความรู้สึกแตกต่างกัน ดังนี้
หมายถึง ส่วนประกอบของการมองเห็นซึ่งประกอบไปด้วยจุด เส้น รูปร่าง รูปทรง น้ำหนักอ่อน - แก่ พื้นที่ว่าง พื้นผิว และสี ในการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์แขนงใดก็ตาม ล้วนแต่ต้องใช้องค์ประกอบต่างๆ ดังกล่าวของทัสนธาตุ นำมาออกแบบจัดวางให้ผสมผสานกันตามหลักการออกแบบด้วยกันทั้งสิ้น
องค์ประกอบของทัศนธาตุ
ทัศนธาตุ หรือองค์ประกอบศิลป์ที่เป็นพื้นฐานในการนำไปใช้ เพื่อการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ จะประกอบไปด้วย จุด เส้น รูปร่าง รูปทรง ลักษณะผิว พื้นที่ว่าง น้ำหนักอ่อน - แก่ แสงเงา และสี ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
1. จุด (Point , Dot) เป็นส่วนที่เล็กที่สุดในผลงาน เป็นต้นกำเนิดของเส้น รูปร่าง รูปทรง แสงเงา และพื้นผิว ถ้านำจุดมาวางเรียงต่อกัน และทำซ้ำๆ จะเกิดเป็นเส้น หรือถ้านำจุดมาวางรวมกลุ่มกันให้เหมาะสม จะเกิดเป็นรูปร่าง รูปทรง พื้นผิว และแสงเงาได้
2. เส้น (Line) มีผลต่อการรับรู้และช่วยกระตุ้นให้เกิดอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ เส้นเป็นพื้นฐานสำคัญของการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ทุกแขนง โดยเฉพาะใช้ในการร่างภาพ เพื่อถ่ายทอดสิ่งที่มองเห็นหรือสิ่งที่จินตนาการสื่ออกมาเป็นภาพ
เส้นแบ่งตามลักษณะใหญ่ๆ ได้ 5 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดให้คุณค่าและความรู้สึกแตกต่างกัน ดังนี้
3. รูปร่าง รูปทรง เกิดจากการนำเอาเส้นในลักษณะต่างๆมาประกอบให้เป็นเรื่องราว ทั้งนี้ รูปร่างจะเป็นเส้นโครงของวัตถุสิ่งของ มีลักษณะ 2 มิติ คือ ความกว้างและความยาว ส่วนรูปทรงเป็นเส้นโครงของวัตถุสิ่งของ มีลักษณะเป็น 3 มิติ คือ ความกว้าง ความยาว และความลึก
3.1 รูปร่าง (Shape) หมายถึง เส้นที่เป็นโครงของวัตถุหรือสิ่งของที่ปรากฏให้เห็นเป็นลักษณะ 2 มิติ ถ้ากล่าวถึงรูปสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม วงกลม หรือรูปร่างอื่นๆ ก็คือรูปที่มีเพียงกว้างกับส่วนยาวเท่านั้น จะไม่แสดงความหนาและสีผิวของวัตถุ เช่น รูปร่างของคน หมายถึง เส้นรอบนอกของร่างกายที่แสดงเป็นเพียงส่วนโค้ง ส่วนเว้า ไม่เห็นส่วนนูนหนา หรือ สีผิว สังเกตง่ายๆ ก็คือ มองเห็นเป็นลักษณะแบนๆ เหมือนเงาของวัตถุ เป็นต้น
รูปร่างแบ่งออกเป็นลักษณะใหญ่ๆ ได้ 3 ลักษณะ คือ
3.2 รูปทรง (Form) หมายถึง โครงสร้างทั้งหมดของวัตถุที่ปรากฏให้เห็นในลักษณะ 3 มิติ คือ มีทั้งส่วนกว้าง ส่วนยาว ส่วนลึก หรือหนา เช่น รูปทรงของคน จะแสดงให้เห็นโครงสร้างของร่างกายที่มีส่วนสูง ส่วนโค้ง ส่วนเว้า ส่วนนูนหนา และสีผิว เป็นต้น หลักการสังเกตว่าเป็นรูปทรง 3 มิติ คือ เมื่องมองแล้วจะให้ความรู้สึกเป็นแท่ง เป็นก้อน มีมวล มีเนื้อที่ภายใน มีปริมาตร หรือมีน้ำหนัก
รูปทรงแบ่งออกเป็นลักษณะใหญ่ๆ ได้ 3 ลักษณะ คือ
4. พื้นผิว (Texture) พื้นผิวของวัตถุต่างๆ ที่เกิดจากธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น พื้นผิวของวัตถุที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน ย่อมให้อารมณ์และความรู้สึกที่ได้จากการมองเห็นมีความแตกต่างกันออกไปด้วย
ลักษณะพื้นผิวโดยทั่วไปถือว่าเป็นทัศนธาตุที่ไม่ใช่เป็นหลักในการสร้างรูปทรง ส่วนใหญ่จะใช้เป็นส่วนของพื้นภาพ มีศิลปินหลายคนใช้ลักษณะของพื้นผิวเป็นทัศนธาตุที่สำคัญในการสร้างสรรค์งาน ด้วยการใช้พื้นผิวลักษณะต่างๆ มาประกอบเป็นรูปทรงที่สมบูรณ์ได้ พื้นผิวที่มีลักษณะแตกต่างกันย่อมให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันด้วย เช่น พื้นผิวเรียบ โค้งเว้าของโซฟา ย่อมทำให้เกิดความรู้สบายผ่อนคลายนอารมณ์ อยากสัมผัส ส่วนพื้นผิวที่ดูหยาบขรุขระจะให้ความรู้สึกที่แข็งกระด้าง เป็นต้น
ผลงานของเฮนรี มัวร์ ซึ่งแสดงลักษณะพื้นผิวที่เรียบเนียน |
5. พื้นที่ว่าง (Space) บริเวณที่เป็นความว่าง ไม่ใช่ส่วนที่เป็นรูปทรง หรือเนื้อหา การกำหนดพื้นที่ที่เหมาะสมจะช่วยทำให้ผลงานดูแล้วสบายตา ไม่อึดอัด หรืออ้างว้างโดดเดี่ยว
6.น้ำหนักอ่อน - แก่ (Value) จำความเข้ม - ความอ่อนของสีและแสงเงาตามที่ประสาทตารับรู้เมื่อเทียบกับน้ำหนักของสีขาว - สีดำ เมื่อใช้น้ำหนักที่ต่างกันของสีและแสงเงา จะทำให้เกิดรูปลักษณะต่างๆ
ในการสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์สามารถจำแนกออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
6.1 น้ำหนักอ่อน - แก่ของสี ในการใช้น้ำหนักอ่อน - ก่ ของสีนี้จะเ้ป็นลักษณะ 2 มิติ ได้แก่ ภาพเขียนต่างๆ ภาพพิมพ์ เมื่อมองด้วยสายตาจะเห็นระยะใกล้ไกล มีความลึก นอกจากนี้ น้ำหนักอ่อน - แก่ของการใช้สียังแบ่งได้อีกหลายลักษณะ เช่น ใช้สีเดียว หรือ หลายสีก็ได้ โดยวิธีการไล่น้ำหนักของสีจากสีเข้มไปจนถึงสีอ่อนสุด หากใช้สีดำก็จะไล่น้ำหนักจากดำและให้จางลงไปจนถึงระยะขาว
6.2 น้ำหนักอ่อน - แก่ี ของแสง - เงา หมายถึง แสงสว่างและเงามืด ซึ่งจะทำให้เกิดการมองเห็นสิ่งต่างๆ เป้นลักษณะ 3 มิติ เช่น ทรงกลม ทรงเหลี่ยม เป็นต้น มองเห็นความโค้ง ความเบี้ยว ความเว้า เมื่อแสงสาดกระทบวัตถุที่มีสี ส่วนที่ถูกแสงสว่างจะเป็นสีอ่อน ส่วนมืดจะอยู่ตรงกันข้ามกับด้านแสงส่องสว่างมากระทบ ดังนั้น แสงและเงาจึงมีคุณค่าอ่อน - แก่ ปรากฏอยู่ร่วมกันบนวตถุตั้งแต่ส่วนที่สว่างจนถึงมืดดำ น้ำหนักที่อ่อน กลาง แก่ จะใช้ในการจัดองค์ประกอบศิลป์ด้วย
7. สี (Colors) ปรากฏการณ์ของแสงที่ตกกระทบกับวัตถุแล้วสะท้อนเข้าสู่ตาของมนุษย์ จึงทำให้มองเห็นเป็นสีต่างๆ ซึ่งสีจะปรากฏอยู่ในทุกสรรพสิ่ง มีอิทธิพลต่ออารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์ ทั้งยังเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ส่งผลให้ผลงานมีความงดงามอีกด้วย
7.1 หน้าที่ของสี สีทำหน้าที่เช่นเดียวกับน้ำหนักใทุกประการ แต่เพิ่มหน้าที่พิเศษที่สำคัญที่สุดขึ้นอีกประการหนึ่ง นั่นคือ อิทธิพลของสีที่มีต่ออารมณ์ ความรู้สึกของการรับรู้ สีให้ความรู้สึกต่างๆ ดังนี้
7.2 แม่สีและหลักการผสมสี การที่เรามองเห็นวัตถุมีสีต่างๆ ได้นั้น เนื่องจากในแสงมีสีต่างๆรวมกันอยู่แล้วทุกสี แต่ได้ผสมกันอย่างสมดุลจนกลายเป็นสีขาวใส เมื่อแสงกระทบวัตถุที่มีสี วัตถุนั้นจะดูดสีทั้งหมดของแสงไว้แล้วสะท้อนสีที่เหมือนกับตัววัตถุออกมา เราจึงมองเห็นสีของวัตถุนั้น เช่น แสงส่องมาถูกลูกโป่งสีแดง สีแดงของลูกโป่งจะจับกับสีแดงในแสงแล้วสะท้อนสีแดงนั้นเข้าสู่ตาของเรา เราจึงมองเห็นลูกโป่งสีแดง
นอกจากสีที่เกิดผลจากแสงแล้วยังมีสีที่ได้จากสารเคมีและจากวัตถุธรรมชาติมาสังเคราะห์เกิดเป็นสีต่างๆ มากมาย เราเรียกว่า สีจากวัตถุธาตุ ซึ่งหมายถึง วัตถุที่เป็นเนื้อสีอยู่ในตัวเอง เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมี เป็นสีที่ช่างเขียนใช้ในการเขียนภาพ รวมทั้งสีประเภททาอาคาร บ้านเรือน สีของเครื่องใช้ต่างๆ สีวัตถุธาตุสามารถนำมาผสมกันเป็นขั้นๆได้ดังนี้
1) แม่มี หรือ สีขั้นต้น (Primary Colors) เป็นแม่สีของวัตถุธาตุ เป็นสีที่มีเนื้อแท้อยู่ในตัว มีอยู่ 3 สีที่เราไม่อาจผสมกันได้คือ สีเหลือง สีแดง และสีนำ้เงิน
2) สีขั้นที่ 2 (Secondary Colors) เกิดจากการนำแม่สีทั้ง 3 มาผสมกันเข้าทีละคู่ ด้วยอัตราส่วนเท่ากัน จะได้สีขั้นที่ 2 หรือลูกสีเพิ่มขึ้นอีก 3 สี คือ สีส้ม สีเขียว สีม่วง
สีขั้นที่ 2
3) สีขั้นที่ 3 (Tertiara Colors) เกิดจากการนำสีขั้นที่ 2 ผสมกับแม่สีทีละคู่ จะได้สีเพิ่มขึ้นอีก 6 สี คือ สีส้มเหลือง สีส้มแดง สีเขียวเหลือง สีเขียวน้ำเงิน สีม่วงแดง และสีม่วงน้ำเงิน
สีขั้นที่ 3
สีขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 และขั้นที่ 3 ทั้ง 12 สี รวมกันเป็นวงสีธรรมชาติ ซึ่งถ้านำสีทุกสีมาผสมกัน จะได้สีเทาแก่ๆ เกือบดำ เรียกว่า สีกลาง (Neutral Colors) หรือถ้านำแม่สี 3 สี มาผสมรวมกันเข้าก็ได้สีกลางเช่นเดียวกัน
7.3 การนำสีไปใช้ ในการสร้างสรรค์งานศิลปะ สีเป็นทัศนธาตุหนึ่งที่สำคัญกว่ารูปทรงซึ่งถือว่าเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น อย่างไรก็ตามการใช้สีมีทั้งยึดกฎเกณฑ์ หรือทฤษฎี และปราศจากกฎเกณฑ์ใดๆ การนำสีไปใช้เพื่อให้เกิดความงามทางศิลปะจึงจำเป็นต้องศึกษาเรื่องสีให้เข้าใจในประการสำคัญๆ เพื่อการสร้างสรรค์ผลงานตามวัตถุประสงค์ ดังนี้
1) วรรณะสี (Tone) จากวงสีธรรมชาติ ในทางศิลปะได้มีการแบ่งวรรณะของสีออกเป็น 2 วรรณะ คือ สีวรรณะอุ่น (Warm Tone) ได้แก่ สีที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น หรือร้อน และสีวรรณะเย็น (Cool Tone) ได้แก่ สีที่ให้ความรู้สึกเย็น สงบ สบาย
2) ค่าของสี (Value) หมายถึง สีใดสีหนึ่งที่เราทำให้ค่อยๆ จางลงจนขาว หรือดูสว่าง และทำให้ค่อยๆ เข้มขึ้นจนมืด ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 7 - 9 ระยะ ประโยชน์ในค่าของสีที่ใช้เพื่อการสร้างสรรค์งานก็คือ ทำให้ได้ภาพที่เกิดระยะใกล้ไกลเหมือนจริงในธรรมชาติ และเป็นลวดลายแสดงน้ำหนักอ่อน - แก่ที่งดงาม
3) ความเด่นชัดของสี (Intensity) หมายถึง สีที่ปรากฏเด่นในการเขียนภาพ ดดยการใช้สีสดใสให้ปรากฏเด่นขึ้นมาบนโครงสีส่วนรวมที่เป็นสีกลาง หรือสีอ่อนจาง ซึ่งจะช่วยให้ภาพสวยงาม มีความน่าดูยิ่งขึ้น เช่น ภาพธรรมชาติตอนพระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน ท้องฟ้าจะค่อยๆมืดลง สภาพสีส่วนรวมจะเป็นสีหม่นค่อนข้างไปทางมืด แต่ดวงอาทิตย์และบริเวณที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าจะมีแสงสดใสสาดส่องกระทบกับก้อนเมฆ เป็นภาพที่สวยงามมาก
4) สีเอกรงค์ (Monochrome) หมายถึง สีที่แสดงความเด่นชัดออกมาเพียงสีเดียว หรือใช้เพียงสีเดียวในการเขียนภาพ โดยให้มีค่าอ่อน กลาง แก่ ลักษณะคล้ายกับภาพถ่ายสีเดียว ขาวดำ หรือจะใช้สีอื่นเป็นหลักแล้วไล่น้ำหนักเพิ่มลดความเข้มตามที่ต้องการในภาพ สีเอกรงค์ที่นิยมใช้ ได้แก่ สีน้ำตาล ดำ น้ำเงิน แม้เป็นเพียงการใช้สีเพียงสีเดียว แต่ก็ให้ความงดงามและคุณค่าเช่นเดียวกันกับภาพที่ใช้หลายสี
5) สีคู่ตรงข้าม ( Complementary Colors) หมายถึง สีที่อยู่ตรงกันข้ามกันในวงสีธรรมชาติ เป็นคู่สีกัน คือ สีคู่ที่ตัดกัน หรือเรียกว่า สีตรงกันข้ามหรือสีตัดกัน (Contrast) ถ้านำมาใช้คู่กันจะทำให้เกิดความรู้สึกตัดกันอย่างรุนแรง คู่สีนี้ถ้านำมาผสมกันจะได้เป็นสีกลาง แต่ถ้านำสีหนึ่งเจือลงไปในสีคู่ของมันเล็กน้อย จะทำให้สีนั้นหม่นๆลง ถ้าเจือมากจะหม่นมาก จิตรกรบางกลุ่มใช้สีคู่ตรงข้ามนี้แทนสีดำในการทำให้อีกสีหนึ่งหม่นลง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น