เกณฑ์ในการประเมินคุณภาพผลงานดนตรีไทย
การประเมินคุณภาพผลงานด้านศิลปะทุกแขนง ล้วนเป็นสิ่งที่ค่อนข้างประเมินได้ยาก ทั้งนี้ผลขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้ประเมินแต่ละคน ไม่สามารถทำให้ทุกคนมีความคิดเห็นตรงกันหรือมีความพอใจเหมือนกันได้ การประเมินคุณภาพผลงานดนตรีไทยก็เช่นเดียวกัน ผู้ที่จะสามารถประเมินผลงานดนตรีไทยได้ลึกซึ้ง จำเป็นต้องศึกษาและมีประสบการณ์เกี่ยวกับดนตรีไทยมากพอควร
1.เกณฑ์ทั่วไปในการประเมินคุณภาพผลงานดนตรี
1.1 เสียง พิจารณาว่าเสียงแต่ละเสียงที่ผู็ประพันธ์ได้นำมาเรียบเรียงเป็นบทเพลงนั้นมีความไพเราะ เหมาะสมกลมกลืนกันหรือไม่เพียงใด การประพันธ์เพลงเปรียบเสมือนการประพันธ์บทร้อยกรอง ซึ่งผู้ประพันธ์จำเป็นต้องคัดสรรคำที่มีทั้งเสียงสัมผัส และมีความหมายที่สัมพันธ์กัน
1.2 รูปแบบของบทเพลง ควรพิจารณาว่าเพลงนั้นมีรูปแบบเป็นอย่างไร มีความเหมาะสมมีลักษณะใดที่โดเด่นหรือเป็นสิ่งใหม่ที่ปรากฏในวงการดนตรีหรือไม่ เช่น รูปแบบโหมโรงมหาราชมีลักษณะที่ต่างไปจากเพลงโหมโรงของเดิม เนื่องจากผู้ประพันธ์ คือ นายมนตรี ตราโมท ได้กราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อัญเชิญทำนองบทเพลงพระราชนิพนธ์เพลงใกล้รุ่งและเพลงเราสู้ มาแปลงเป็นอัตราจังหวะสองชั้น มีการสอดแทรกทำนองเพลงที่หลากหลาย มีทั้งทำนองอิสระ ลูกล้อ ลูกขัด เหลื่อม เข้ามาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ในตอนท้ายของบทเพลง ผู้ประพันธ์ยังได้อัญเชิญทำนองตอนหนึ่งจากบทเพลงพระราชนิพนธ์เพลงสายฝนมาใส่ไว้ด้วย ทำให้เพลงนี้มีรูปแบบและจังหวะผสมผสานระหว่างดนตรีไทยกับดนตรีสากล เป็นต้น
1.3 ด้านเทคนิค พิจารณาว่าผลงานชิ้นนั้น เปิดโอกาสให้ผู้บรรเลงหรือผู้ขับร้องสามารถสอดแทรกเทคนิคในการบรรเลงหรือขับร้องได้มากน้อยเพียงใด ถ้าเป็นผลงานที่เรียบง่าย ย่อมได้รับความสนใจหรือการตอบรับจากผู้ฟังน้อย ดังนั้น ผลงานดนตรีไทยที่มีคุณค่าจึงควรมีการสอกแทรกเทคนิคการบรรเลงหรือการขับร้อง เพื่อให้ผู้ฟังเกิดอรรถรสมากขึ้นในขณะที่รับฟังด้วย
1.4 ด้านการถ่ายทอดอารมณ์ เนื่องจากดนตรีใช้เสียงเป็นสื่อในการถายทอดอารมณ์ำ ดังนั้น ผลงานดนตรีไทยที่ดีและมีคุณค่าจึงจำเป็นต้องผลิตเสียงอันเกิดจากการบรรเลง ขับร้องก็ดีให้ถ่ายทอดออกมาอย่างมีคุณภาพให้ผู้ฟังสามารถรับรู้ถึงอารมณ์ ความรู้สึกที่ผู้ประพันธ์กำหนดไว้จึงจะจัดว่าผลงานชิ้นนั้นเป็นผลงานที่มีคุณค่า
1.5 ด้านคุณภาพของผลงาน พิจารณาว่าผลงานนั้นมีความสมบูรณ์ครบทุกด้านหรือไม่ทั้งความไพเราะ รูปแบบ ประโยชน์ที่ผู้ฟังได้รับ
2. การประเมินความสารถทางดนตรีไทย
หลักการประเมินความสามารถทางดนตรีไทยที่ใช้เป็นพื้นฐานในการประเมินหรือวิเคราะห์ความสามารถทางดนตรีไทย พอจะแยกกล่าวเป็น 3 ด้าน ดังนี้
2.1 ความถูกต้องในการบรรเลงและขับร้อง การประเมินความถูกต้องในการบรรเลงและขับร้องเพลงไทย สามารถแบ่งเป็นหัวข้อหลักที่จะใช้ในการพิจารณาประเมินได้ 3 ข้อได้แก่
- ทำนอง การประเมินความถูกต้องด้านนี้ ย่อมเกี่ยวข้องกับเสียงของเครื่องดนตรีและผู้บรรเลงหรือขับร้องเป็นทำนองที่ถูกต้องตามที่ผู้ประพันธ์ได้เรียบเรียงไว้หรือไม่เพียงใด บางเพลงผู้ประพันธ์ได้ประพันธ์ทำนองไว้อย่างหนึ่ง แต่เวลาผู้บรรเลงนำมาบรรเลงกลับแต่งเติมจนผิดเพี้ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะเพลงที่เป็นเพลงบังคับทาง เช่น เพลงแขกต่อยหม้อสามชั้นท่อน 2 ผู้บรรเลงบางคนเพิ่มทำนองเพลงไปในช่วงรอจังหวะ อาจเป็นเพราะต้องการแสดงความสามารถหรือต้องการให้เกิดการสอดประสานเช่นเดียวกับเพลงสากลอย่างไรมิทราบแต่ถ้าเป็นเพลงบังคับ ไม่ควรเพิ่มเติมหรือปรับเปลี่ยนทำนองแต่อย่างได ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ทำนองเดิม
1.เกณฑ์ทั่วไปในการประเมินคุณภาพผลงานดนตรี
1.1 เสียง พิจารณาว่าเสียงแต่ละเสียงที่ผู็ประพันธ์ได้นำมาเรียบเรียงเป็นบทเพลงนั้นมีความไพเราะ เหมาะสมกลมกลืนกันหรือไม่เพียงใด การประพันธ์เพลงเปรียบเสมือนการประพันธ์บทร้อยกรอง ซึ่งผู้ประพันธ์จำเป็นต้องคัดสรรคำที่มีทั้งเสียงสัมผัส และมีความหมายที่สัมพันธ์กัน
1.2 รูปแบบของบทเพลง ควรพิจารณาว่าเพลงนั้นมีรูปแบบเป็นอย่างไร มีความเหมาะสมมีลักษณะใดที่โดเด่นหรือเป็นสิ่งใหม่ที่ปรากฏในวงการดนตรีหรือไม่ เช่น รูปแบบโหมโรงมหาราชมีลักษณะที่ต่างไปจากเพลงโหมโรงของเดิม เนื่องจากผู้ประพันธ์ คือ นายมนตรี ตราโมท ได้กราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อัญเชิญทำนองบทเพลงพระราชนิพนธ์เพลงใกล้รุ่งและเพลงเราสู้ มาแปลงเป็นอัตราจังหวะสองชั้น มีการสอดแทรกทำนองเพลงที่หลากหลาย มีทั้งทำนองอิสระ ลูกล้อ ลูกขัด เหลื่อม เข้ามาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ในตอนท้ายของบทเพลง ผู้ประพันธ์ยังได้อัญเชิญทำนองตอนหนึ่งจากบทเพลงพระราชนิพนธ์เพลงสายฝนมาใส่ไว้ด้วย ทำให้เพลงนี้มีรูปแบบและจังหวะผสมผสานระหว่างดนตรีไทยกับดนตรีสากล เป็นต้น
1.3 ด้านเทคนิค พิจารณาว่าผลงานชิ้นนั้น เปิดโอกาสให้ผู้บรรเลงหรือผู้ขับร้องสามารถสอดแทรกเทคนิคในการบรรเลงหรือขับร้องได้มากน้อยเพียงใด ถ้าเป็นผลงานที่เรียบง่าย ย่อมได้รับความสนใจหรือการตอบรับจากผู้ฟังน้อย ดังนั้น ผลงานดนตรีไทยที่มีคุณค่าจึงควรมีการสอกแทรกเทคนิคการบรรเลงหรือการขับร้อง เพื่อให้ผู้ฟังเกิดอรรถรสมากขึ้นในขณะที่รับฟังด้วย
1.4 ด้านการถ่ายทอดอารมณ์ เนื่องจากดนตรีใช้เสียงเป็นสื่อในการถายทอดอารมณ์ำ ดังนั้น ผลงานดนตรีไทยที่ดีและมีคุณค่าจึงจำเป็นต้องผลิตเสียงอันเกิดจากการบรรเลง ขับร้องก็ดีให้ถ่ายทอดออกมาอย่างมีคุณภาพให้ผู้ฟังสามารถรับรู้ถึงอารมณ์ ความรู้สึกที่ผู้ประพันธ์กำหนดไว้จึงจะจัดว่าผลงานชิ้นนั้นเป็นผลงานที่มีคุณค่า
1.5 ด้านคุณภาพของผลงาน พิจารณาว่าผลงานนั้นมีความสมบูรณ์ครบทุกด้านหรือไม่ทั้งความไพเราะ รูปแบบ ประโยชน์ที่ผู้ฟังได้รับ
2. การประเมินความสารถทางดนตรีไทย
หลักการประเมินความสามารถทางดนตรีไทยที่ใช้เป็นพื้นฐานในการประเมินหรือวิเคราะห์ความสามารถทางดนตรีไทย พอจะแยกกล่าวเป็น 3 ด้าน ดังนี้
2.1 ความถูกต้องในการบรรเลงและขับร้อง การประเมินความถูกต้องในการบรรเลงและขับร้องเพลงไทย สามารถแบ่งเป็นหัวข้อหลักที่จะใช้ในการพิจารณาประเมินได้ 3 ข้อได้แก่
- ทำนอง การประเมินความถูกต้องด้านนี้ ย่อมเกี่ยวข้องกับเสียงของเครื่องดนตรีและผู้บรรเลงหรือขับร้องเป็นทำนองที่ถูกต้องตามที่ผู้ประพันธ์ได้เรียบเรียงไว้หรือไม่เพียงใด บางเพลงผู้ประพันธ์ได้ประพันธ์ทำนองไว้อย่างหนึ่ง แต่เวลาผู้บรรเลงนำมาบรรเลงกลับแต่งเติมจนผิดเพี้ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะเพลงที่เป็นเพลงบังคับทาง เช่น เพลงแขกต่อยหม้อสามชั้นท่อน 2 ผู้บรรเลงบางคนเพิ่มทำนองเพลงไปในช่วงรอจังหวะ อาจเป็นเพราะต้องการแสดงความสามารถหรือต้องการให้เกิดการสอดประสานเช่นเดียวกับเพลงสากลอย่างไรมิทราบแต่ถ้าเป็นเพลงบังคับ ไม่ควรเพิ่มเติมหรือปรับเปลี่ยนทำนองแต่อย่างได ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ทำนองเดิม
- - - -
|
- - - -
|
- - - ซ
|
- - - ม
|
- - ร ม
|
ร ด ท ด
|
ท ล ซ ล
|
ท ด ร ม
|
- - - -
|
- - -
|
ล ล ซ ล
|
ซ ซ ฟ ซ
|
ฟ ฟ ท ฟ
|
ม ม ร ม
|
ร ร ด ร
|
ด ด ท ด
|
ทำนองที่บรรเลงเพิ่ม
- - - -
|
- - - -
|
- - - ซ
|
- - - ม
|
- - ร ม
|
ร ด ท ด
|
ท ล ซ ม
|
ท ด ร ม
|
- - ซ ล
|
ท ด ร ม
|
ล ล ซ ล
|
ซ ซ ฟ ซ
|
ฟ ฟ ท ฟ
|
ม ม ร ม
|
ร ร ด ร
|
ด ด ท ด
|
- จังหวะ การพิจารณาประเมินความถูกต้องในการบรรเลงและการขับร้องเพลงไทยจังหวะถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ถ้าบรรเลงหรือขับร้องจังหวะไม่ถูกต้อง หรือแนวจังหวะไม่เหมาะสม เช่น เพลงโหมโรงต่างๆ ถ้าบรรเลงแนวจังหวะช้า หรือเร็วสม่ำเสมอตั้งแต่ต้นจนจบเพลง ผู้ฟังจะไม่ได้รับอรรถรส ผู้บรรเลงจำเป็นต้องรักษาแนวจังหวะ และค่อยบรรเลงให้เร็วขึ้น ตามลำดับ แต่มิใช่เร็วจนเกินไป ถ้าเป็นการบรรเลงเป็นวง ควรพิจารณาความพร้อมเพรียงของผู้บรรเลงทุกคนว่ามีความสามัคคีกลมเกลียวกันเพียงใด บางครั้งอาจมีผู้บรรเลงคนใดพลาดพลั้ง ผู้บรรเลงคนอื่นต้องช่วยแก้ทันที โดยไม่ทำให้ผู้ฟังเสียอรรถรส
- บทร้อง ถ้ามีการขับร้อง ต้องพิจารณาการออกเสียงคำในบทร้องของผู้ขับร้องว่า มีความชัดเจน ถูกต้องตามอักขรวิธี และต้องตรงตามความหมาย ไม่ผิดเพี้ยน
2.2 ความแม่นยำในการอ่านความหมายและสัญลักษณ์ การประเมินด้านนี้อาจไม่จำเป็นสำหรับการบรรเลงหรือขับร้องเพลงไทยนัก เพราะการบรรเลงและขับร้องเพลงไทยตามแบบฉบับเดิม ไม่นิยมการดูโน้ตขณะบรรเลงหรือขับร้อง แต่ในปัจจุบัน เริ่มมีการนำโน้ตเข้ามาใช้ในการฝึกหัดดนตรีไทย บางวงใช้โน้ตขณะบรรเลงหรือขับร้อง ถ้าจะพิจารณาการบรรเลงหรือขับร้องในด้านความแม่นยำในการอ่านความหมายหรือสัญลักษณื สามารถพิจารณาประเมินได้จากการบรรเลงหรือขับร้องว่าตรงตามจังหวะหรือไม่ การบรรเลงซ้ำ หรือการนับเที่ยวทำนองถูกต้องหรือไม่เพียงใด บางช่วงของบทเพลงอาจมีการบรรเลงหรือขับร้องซ้ำทำนองบางตอนของบทเพลงผู้บรรเลงสามารถดูและเข้าใจเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์นั้นได้คล่องแคล่ว ถูกต้องมากน้อยเพียงใด ทันจังหวะเพลงหรือไม่
2.3 การควบคุมคุณภาพเสียงในการขับร้องและการบรรเลง สามารถจำแนกเป็น 2 กลุ่ม คือ การควบคุมคุณภาพเสียงในการขับร้อง และการควบคุมคุณภาพเสียงในการบรรเลง
2.3.1 การควบคุมคุณภาพเสียงในการขับร้อง หลักในการพิจารณาประเมินประกอบด้วย คุณภาพเสียง และเทคนิคการร้อง
2.3.1.1 คุณภาพเสียง สิ่งที่พึงประเมินเกี่ยวกับคุณภาพเสียง ประกอบด้วย
- น้ำเสียงสดใส กังวาน น่าฟัง ไม่เพี้ยน
- ความดังของเสียงสม่ำเสมอ สามารถออกเสียงได้ชัดเจนทุกพยางค์ไม่มีเสียงบอด
- ความถูกต้องด้านอักขรวิธี การออกเสียง "ร" "ล" หรือคำควบกล้ำอื่นๆ
- ความหมายของคำทุกคำต้องถูกต้อง ไม่เพี้ยน
- การขึ้น ลงเสียงเหมาะสม กลมกลืน ไม่โหนเสียง
2.3.1.2 เทคนิคในการขับร้อง สิ่งที่พึงประเมินประกอบด้วย
- การเอื้อน การออกเสียงคำตามวรรณยุกต์ได้ไพเราะ เหมาะสม ถูกต้อง
- การผ่อนลมหายใจได้เหมาะสม เสียงคำชัดเจนทุกคำ
- การใช้เสียงในการถ่ายทอดอารมณ์เพลงได้อย่างเหมาะสม
2.3.2 การควบคุมคุณภาพเสียงในการบรรเลง หลักในการพิจารณาประกอบด้วย คุณภาพเสียง และเทคนิคในการบรรเลง
2.3.2.1 คุณภาพเสียง สิ่งที่พึงประเมินเกี่ยวกับคุณภาพเสียง ประกอบด้วย
- เสียงเครื่องดนตรีทุกชิ้นดัง มีระดับเสียงที่ถูกต้อง ไม่เพี้ยน
- ความสมดุลของเสียงเครื่องดนตรีทุกชิ้นในวง
2.3.2.2 เทคนิคในการบรรเลง สิ่งที่พึงประเมินประกอบด้วย
- ความสามารถในการใช้เสียงดนตรีถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างเหมาะสมกับ บทเพลง
- ความพร้อมเพรียงในการบรรเลง
- การสอดแทรกเทคนิคต่างๆในการบรรเลง ทำให้เพิ่มอรรถรสในบทเพลงได้อย่าง เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป
- การขึ้น ลง รับ ส่งร้องหรือเปลี่ยนเพลงราบรื่น
ตัวอย่างการบรรเลงวงดนตรีไทย
WINKWHITE
2.3 การควบคุมคุณภาพเสียงในการขับร้องและการบรรเลง สามารถจำแนกเป็น 2 กลุ่ม คือ การควบคุมคุณภาพเสียงในการขับร้อง และการควบคุมคุณภาพเสียงในการบรรเลง
2.3.1 การควบคุมคุณภาพเสียงในการขับร้อง หลักในการพิจารณาประเมินประกอบด้วย คุณภาพเสียง และเทคนิคการร้อง
2.3.1.1 คุณภาพเสียง สิ่งที่พึงประเมินเกี่ยวกับคุณภาพเสียง ประกอบด้วย
- น้ำเสียงสดใส กังวาน น่าฟัง ไม่เพี้ยน
- ความดังของเสียงสม่ำเสมอ สามารถออกเสียงได้ชัดเจนทุกพยางค์ไม่มีเสียงบอด
- ความถูกต้องด้านอักขรวิธี การออกเสียง "ร" "ล" หรือคำควบกล้ำอื่นๆ
- ความหมายของคำทุกคำต้องถูกต้อง ไม่เพี้ยน
- การขึ้น ลงเสียงเหมาะสม กลมกลืน ไม่โหนเสียง
2.3.1.2 เทคนิคในการขับร้อง สิ่งที่พึงประเมินประกอบด้วย
- การเอื้อน การออกเสียงคำตามวรรณยุกต์ได้ไพเราะ เหมาะสม ถูกต้อง
- การผ่อนลมหายใจได้เหมาะสม เสียงคำชัดเจนทุกคำ
- การใช้เสียงในการถ่ายทอดอารมณ์เพลงได้อย่างเหมาะสม
2.3.2 การควบคุมคุณภาพเสียงในการบรรเลง หลักในการพิจารณาประกอบด้วย คุณภาพเสียง และเทคนิคในการบรรเลง
2.3.2.1 คุณภาพเสียง สิ่งที่พึงประเมินเกี่ยวกับคุณภาพเสียง ประกอบด้วย
- เสียงเครื่องดนตรีทุกชิ้นดัง มีระดับเสียงที่ถูกต้อง ไม่เพี้ยน
- ความสมดุลของเสียงเครื่องดนตรีทุกชิ้นในวง
2.3.2.2 เทคนิคในการบรรเลง สิ่งที่พึงประเมินประกอบด้วย
- ความสามารถในการใช้เสียงดนตรีถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างเหมาะสมกับ บทเพลง
- ความพร้อมเพรียงในการบรรเลง
- การสอดแทรกเทคนิคต่างๆในการบรรเลง ทำให้เพิ่มอรรถรสในบทเพลงได้อย่าง เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป
- การขึ้น ลง รับ ส่งร้องหรือเปลี่ยนเพลงราบรื่น
ตัวอย่างการบรรเลงวงดนตรีไทย
WINKWHITE
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น