ศ33102 ดนตรีสากลกับสังคมไทย
ดนตรีสากลเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติตะวันตก มีแบบแผนที่ยอมรับของนานาชาติ ในระยะเริ่มแรกมีการนำดนตรีสากลมาใช้ในกิจกรรมทางศาสนา เพื่อสร้างความศรัทธา ความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า ก่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจกันในหมู่ศาสนิกชน ต่อมาดนตรีสากลถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของคนในสังคมไทยและสังคมโลกมากขึ้น
1. ค่านิยมของสังคมไทยต่อดนตรีสากล
คำว่า "ค่านิยม" นักปราชญ์ไทยเอามาจากคำภาษาอังกฤษว่า "value" หมายถึง ความนิยมชมชอบ การยกย่องนับถือและสรรเสริญในคุณประโยชน์ที่สังคมหรือกลุ่มคนโดยรวมเห็นพ้องต้องกัน ซึ่งสังคมไทยมีค่านิยมต่อดนตรีสากล 3 ประการดังนี้
1.1 ค่านิยมดนตรีสากลในพิธีกรรม ค่านิยมการนำดนตรีสากลมาใช้ในพิธีกรรมของคนไทยเกิดจากการที่คนไทยได้ปฏิสัมพันธ์กับชาวต่างชาติที่เป็นศาสนิกชนของศาสนาต่างๆ โดยเฉพาะศานาคริสต์ คนไทยได้เรียนรู้และได้เห็นการจัดพิธีกรรมและพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาเหล่านั้นด้วยการเอาเครื่องดนตรีสากลและการขับร้องมาเป็นส่วนสำคัญของพิธีกรรม การได้เรียนรู้และได้ร่วมพิธีนั่นเอง ทำให้สังคมไทยค่อยๆ ซึมซับและซาบซึ้งในความสำคัญของดนตรีสากลที่มีต่อพิธีกรรมจนเกิดเป็นค่านิยม ตัวอย่างเช่น โบสถ์ซินนากอก (Synagogue) ของชาวยิว สอนว่าการนับถือศาสนาต้องปฏิบัติให้ครบ 4 อย่าง คือ ต้องเรียนรู้ธรรมจริยา ต้องจัดพิธีกรรม ต้องมีการเฉลิมฉลอง และ ต้องขับร้องเพลงสวดสรรเสริญ ซึ่งอาจมีหรือไม่มีเครื่องดนตรีบรรเลงสนับสนุนก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาวะทางการเมืองและการปกครอง โบสถ์คาทอลิก ของชาวคริสต์ ก็ได้วัฒนธรรมการใช้เพลงและดนตรีประกอบพิธีกรรมต่างๆ ในโบสถ์เช่นเดียวกับชาวยิว โดยในสมัย เซนต์พอล ใช้เพลงสากลสรรเสริญแบบชาวยิว ถึงสมัยเซนต์ออกุสไทน์ จึงได้แต่งเพลงขึ้นมาใหม่ โดยเน้นให้มีสาระเกี่ยวกับคำสอนและประวัติตามพระคำภีร์ให้งดเว้นการใช้เพลงที่อาจชักนำจิตใตศาสนิกชนให้ตกต่ำ เพราะมีค่านิยมว่า ดนตรีเป็นเครื่องยกระดับจิตใจของผู้คนให้สูงขึ้น เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้คนในสังคมจึงได้เรียนรู้และพบเห็นการใช้ดนตรีในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ดังที่ได้อธิบายมาข้างต้น จนทำให้เกิดค่านิยมในการนำเอาเครื่องดนตรีสากลมาใช้ในพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ของคนไทยเราบ้าง ตัวอย่างเช่น การนำเอาแตรฝรั่งมาใช้เป่าประสมวงกับหอยสังข์และหมู่กลองชนะ ในพิธีการคำนับรับเสด็จพระมหากษัตริย์ และพิธีประโคมในงานพระบรมศพ การใช้วงโยธวาทิตบรรเลงคำนับรับเสด็จพระมหากษัตริย์ บรรเลงในพิธีเอาฤกษืเอาชัย บรรเลงนำขบวนแห่อันศักดิ์สิทธิ์ นำหน้าแถวทหาร เป็นต้น
1.2 ค่านิยมดนตรีสากลเพื่อความบันเทิง ดนตรีสากลเพื่อความบันเทิงได้เผยแพร่เข้าสู่สังคมไทยผ่านทางสื่อต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง ภาพยนต์ และในปัจจุบันยังผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่คนในสังคมสามารถเข้าถึงได้ในเวลาอันรวดเร็ว คนในสังคมไทยจึงมีโอกาสบริโภคความบันเทิงของดนตรีสากลผ่านสื่อต่างๆ ดังกล่าวโดยง่ายและเมื่อได้ยินได้ฟังได้ดูซ้ำหลายหนก็เกิดความนิยมชมชอบไปเองโยธรรมชาติ
อีกประการหนึ่งคือ องค์ประกอบของดนตรีไม่ว่าจะเป็นดนตรีของชาติใดก็ตามล้วนประกอบด้วย จังหวะ ทำนอง บทร้อง (ถ้ามี) เสียงประสาน และลีลาสอดประสานเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงมิใช่เรื่องยากที่คนในสังคมไทยจะมีความนิยมชมชอบดนตรีสากล อีกทั้งในปัจจุบันคนในสังคมไทยจะได้ยิน ได้ฟัง และได้ชมดนตรีสากลอยู่เป็นประจำ จนทำให้ค่านิยมด้านความบันเทิงของคนในสังคมไทยที่มีต่อดนตรีสากลทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
1.3 ค่านิยมดนตรีสากลในด้านการเมืองการปกครอง นักปราชญ์และนักปกครองได้ค้นพบและใช้ดนตรีสากลเป็นสื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นของชาติ ตัวอย่างเช่น รัฐบุรุษกรีกชื่อว่า "โซโลน" ได้กล่าวไว้ว่า "ดนตรีสามารถสร้างสรรค์พลเมืองดี เหนี่ยวโน้มให้ประชาชนภักดีต่อรัฐและทำให้รัฐเป็นปึกแผ่นมั่นคง" แต่ดนตรีจะทำเช่นนั้นได้ต้องเป็นดนตรีที่ดี หมายความว่าเป็นดนตรีที่แต่งตามหลักไวยกรณ์ มีบทร้องที่เสนาะด้วยคำสัมผัสคล้องจอง มีเนื้อหาพึงประสงค์ และมีกระบวนแบบของจังหวะที่เหมาะสม ดังนั้น ณัฐกรีกในสมัยนั้นจึงควบคุมแบบแผนของดนตรีที่จะแสดงต่อสาธารณชน คือให้ใช้เฉพาะดนตรีที่ชี้นำให้มวลชนมีความจงรักภักดีต่อรัฐและปรพฤติดี ประพฤติชอบเป็นสำคัญ ส่วนดนตรีที่จะชี้นำให้ประชาชนมีแนวคิดต่อต้านรัฐหรือชี้นำให้ประพฤติไปทางต่ำเป็นสิ่งต้องห้าม
ต่อมาชนทุกชาติในสากลโลกจึงมีเพลงชาติ เพื่อแสดงออกถึงความเป็นชาติทั้งสิ้น และหากชาติใดมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขก็จะมีเพลงคำนับรับเสด็จ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี ชาติไทยเองก็มีทั้ง "เพลงชาติไทย" และ "เพลงสรรเสริญพระบารมี" เพื่อแสดงออกถึงความเป็นไทยและถวายความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์และมี "เพลงปลุกใจ" ที่แต่งขึ้นเพื่อปลุกเร้าจิตใจของคนในสังคมไทยให้รวมใจกันเป็นหนึ่ง และเนื่องจากเพลงดังกล่าวล้วนแต่งขึ้นตามหลักไวยากรณ์ดนตรีสากล กับทั้ง
เพลงต้นแบบล้วนใช้วงดนตรีสากลบรรเลงและบันทึกเสียงออกเผยแพร่สู่ประชาชนไทย ดนตรีสากลจึงเข้ามามีบทบาทในค่านิยมด้านการเมืองการปกครองของสังคมไทยด้วย
2.ความเชื่อของสังคมไทยต่อดนตรีสากล
คำว่า "ความเชื่อ" ในที่นี้หมายถึง การยอมรับว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งดี มีคุณประโยชน์หรือมีอยู่จริง ซึ่งความเชื่อนั้นอาจเกิดจากประสบการณ์ตรง หรือเกิดจากการไตร่ตรองและการอนุมานโดยอาศัยความรู้อีกอย่างหนึ่งที่เรียนรู้มาแล้ว
คนในสังคมไทยมีวัฒนธรรมความเชื่อเกี่ยวกับดนตรีเป็นจำนวนมาก เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับความขลังของเสียงดนตรี ความเชื่อว่าเครื่องดนตรีเป็นของสูง การเคารพศรัทธาครูดนตรี การกำหนดเพลงหน้าพาทย์ต่างๆ ขึ้น เพื่อใช้บรรเลงในพระราชพิธีของราชสำนัก เช่น ใช้เพลงสาธุการบรรเลงอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใช้เพลงองค์พระพิราพบรรเลงในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อวัฒนธรรมความเชื่อเกี่ยวกับการใช้ดนตรีสากลประกอบในพิธีศักดิ์สิทธิ์และพิธีการอันเคร่งครัดเผยแพร่เข้ามาในสังคมไทย คนในสังคมสังคมไทยจึงยอมรับได้ ยิ่งทั้งฝ่ายพระราชพิธีและฝ่ายรัฐพิธีนำมาใช้ให้ประชาชนเห็นเป็นประจักษ์ก่อน ประชาชนผู้อยู่ในความปกครองก็ยิ่งมีความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์และความเกรียงไกรของดนตรีสากลนั้น เช่น การบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ เพลงมหาชัยในงานพิธีการต่างๆ
ความเชื่ออีกด้านหนึ่งของคนไทยที่มีต่อดนตรีสากล คือ ความเชื่อด้านการใช้ความรู้และทักษะด้านดนตรีสากลประกอบเป็นวิชาชีพได้ คนไทยยุคเก่าเคยดูแคลนว่าการประกอบอาชีพด้านการแสดงดนตรีเป็นอาชีพที่ต้อยต่ำ เนื่องจากมีรายได้น้อยและไม่จีรังยั่งยืน จึงมีความเชื่อว่าอาชีพนักดนตรี นักร้อง และนักแสดง เป็นอาชีพเต้นกินรำกินแบบหาเช้ากินค่ำ ไม่อาจพัฒนาให้มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัวได้ แต่ในสมัยปัจจุบันนี้การศึกษาวิชาการดนตรีก้าวไกลสู่ระดับสากล ทำให้คนไทยเป็นนักวิชาการดนตรีสากล นักดนตรีสากล นักร้องเพลงสากล ตลอดจนวาทยากรวงดนตรีระดับวิชาชีพจำนวนมาก และหลายคนพัฒนาตนไปสู่ระดับโลก นอกจากนี้ บางท่านก็ได้รับการยกย่องจากมวลชนและองค์กรต่างๆใ้เป็นศิลปินแห่งชาติหรือศิลปินแห่งโลก ตัวอย่างเช่น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งทรงมีพระปรีชาสามารถด้านดนตรีสากลระดับเอกอัครศิลปิน โดยพระองค์ได้รับการทูลกระหม่อมถวายพระเกียรติคุณจากรัฐบาลประเทศออสเตรีย โดยสถาบันการดนตรีและศิลปะแห่งกรุงเวียนนา ให้เป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์หมายเลข 23 ลงวันที่ 24 เดือนกันยายน พ.ศ.2507 พร้อมกับได้รับการบันทึกพระนามลงบนแผ่นศิลาแห่งเกียรติคุณ ณ สถาบันแห่งนั้นด้วย เป็นต้น
WINKWHITE
1. ค่านิยมของสังคมไทยต่อดนตรีสากล
คำว่า "ค่านิยม" นักปราชญ์ไทยเอามาจากคำภาษาอังกฤษว่า "value" หมายถึง ความนิยมชมชอบ การยกย่องนับถือและสรรเสริญในคุณประโยชน์ที่สังคมหรือกลุ่มคนโดยรวมเห็นพ้องต้องกัน ซึ่งสังคมไทยมีค่านิยมต่อดนตรีสากล 3 ประการดังนี้
1.1 ค่านิยมดนตรีสากลในพิธีกรรม ค่านิยมการนำดนตรีสากลมาใช้ในพิธีกรรมของคนไทยเกิดจากการที่คนไทยได้ปฏิสัมพันธ์กับชาวต่างชาติที่เป็นศาสนิกชนของศาสนาต่างๆ โดยเฉพาะศานาคริสต์ คนไทยได้เรียนรู้และได้เห็นการจัดพิธีกรรมและพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาเหล่านั้นด้วยการเอาเครื่องดนตรีสากลและการขับร้องมาเป็นส่วนสำคัญของพิธีกรรม การได้เรียนรู้และได้ร่วมพิธีนั่นเอง ทำให้สังคมไทยค่อยๆ ซึมซับและซาบซึ้งในความสำคัญของดนตรีสากลที่มีต่อพิธีกรรมจนเกิดเป็นค่านิยม ตัวอย่างเช่น โบสถ์ซินนากอก (Synagogue) ของชาวยิว สอนว่าการนับถือศาสนาต้องปฏิบัติให้ครบ 4 อย่าง คือ ต้องเรียนรู้ธรรมจริยา ต้องจัดพิธีกรรม ต้องมีการเฉลิมฉลอง และ ต้องขับร้องเพลงสวดสรรเสริญ ซึ่งอาจมีหรือไม่มีเครื่องดนตรีบรรเลงสนับสนุนก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาวะทางการเมืองและการปกครอง โบสถ์คาทอลิก ของชาวคริสต์ ก็ได้วัฒนธรรมการใช้เพลงและดนตรีประกอบพิธีกรรมต่างๆ ในโบสถ์เช่นเดียวกับชาวยิว โดยในสมัย เซนต์พอล ใช้เพลงสากลสรรเสริญแบบชาวยิว ถึงสมัยเซนต์ออกุสไทน์ จึงได้แต่งเพลงขึ้นมาใหม่ โดยเน้นให้มีสาระเกี่ยวกับคำสอนและประวัติตามพระคำภีร์ให้งดเว้นการใช้เพลงที่อาจชักนำจิตใตศาสนิกชนให้ตกต่ำ เพราะมีค่านิยมว่า ดนตรีเป็นเครื่องยกระดับจิตใจของผู้คนให้สูงขึ้น เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้คนในสังคมจึงได้เรียนรู้และพบเห็นการใช้ดนตรีในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ดังที่ได้อธิบายมาข้างต้น จนทำให้เกิดค่านิยมในการนำเอาเครื่องดนตรีสากลมาใช้ในพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ของคนไทยเราบ้าง ตัวอย่างเช่น การนำเอาแตรฝรั่งมาใช้เป่าประสมวงกับหอยสังข์และหมู่กลองชนะ ในพิธีการคำนับรับเสด็จพระมหากษัตริย์ และพิธีประโคมในงานพระบรมศพ การใช้วงโยธวาทิตบรรเลงคำนับรับเสด็จพระมหากษัตริย์ บรรเลงในพิธีเอาฤกษืเอาชัย บรรเลงนำขบวนแห่อันศักดิ์สิทธิ์ นำหน้าแถวทหาร เป็นต้น
1.2 ค่านิยมดนตรีสากลเพื่อความบันเทิง ดนตรีสากลเพื่อความบันเทิงได้เผยแพร่เข้าสู่สังคมไทยผ่านทางสื่อต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง ภาพยนต์ และในปัจจุบันยังผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่คนในสังคมสามารถเข้าถึงได้ในเวลาอันรวดเร็ว คนในสังคมไทยจึงมีโอกาสบริโภคความบันเทิงของดนตรีสากลผ่านสื่อต่างๆ ดังกล่าวโดยง่ายและเมื่อได้ยินได้ฟังได้ดูซ้ำหลายหนก็เกิดความนิยมชมชอบไปเองโยธรรมชาติ
อีกประการหนึ่งคือ องค์ประกอบของดนตรีไม่ว่าจะเป็นดนตรีของชาติใดก็ตามล้วนประกอบด้วย จังหวะ ทำนอง บทร้อง (ถ้ามี) เสียงประสาน และลีลาสอดประสานเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงมิใช่เรื่องยากที่คนในสังคมไทยจะมีความนิยมชมชอบดนตรีสากล อีกทั้งในปัจจุบันคนในสังคมไทยจะได้ยิน ได้ฟัง และได้ชมดนตรีสากลอยู่เป็นประจำ จนทำให้ค่านิยมด้านความบันเทิงของคนในสังคมไทยที่มีต่อดนตรีสากลทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
1.3 ค่านิยมดนตรีสากลในด้านการเมืองการปกครอง นักปราชญ์และนักปกครองได้ค้นพบและใช้ดนตรีสากลเป็นสื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นของชาติ ตัวอย่างเช่น รัฐบุรุษกรีกชื่อว่า "โซโลน" ได้กล่าวไว้ว่า "ดนตรีสามารถสร้างสรรค์พลเมืองดี เหนี่ยวโน้มให้ประชาชนภักดีต่อรัฐและทำให้รัฐเป็นปึกแผ่นมั่นคง" แต่ดนตรีจะทำเช่นนั้นได้ต้องเป็นดนตรีที่ดี หมายความว่าเป็นดนตรีที่แต่งตามหลักไวยกรณ์ มีบทร้องที่เสนาะด้วยคำสัมผัสคล้องจอง มีเนื้อหาพึงประสงค์ และมีกระบวนแบบของจังหวะที่เหมาะสม ดังนั้น ณัฐกรีกในสมัยนั้นจึงควบคุมแบบแผนของดนตรีที่จะแสดงต่อสาธารณชน คือให้ใช้เฉพาะดนตรีที่ชี้นำให้มวลชนมีความจงรักภักดีต่อรัฐและปรพฤติดี ประพฤติชอบเป็นสำคัญ ส่วนดนตรีที่จะชี้นำให้ประชาชนมีแนวคิดต่อต้านรัฐหรือชี้นำให้ประพฤติไปทางต่ำเป็นสิ่งต้องห้าม
ต่อมาชนทุกชาติในสากลโลกจึงมีเพลงชาติ เพื่อแสดงออกถึงความเป็นชาติทั้งสิ้น และหากชาติใดมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขก็จะมีเพลงคำนับรับเสด็จ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี ชาติไทยเองก็มีทั้ง "เพลงชาติไทย" และ "เพลงสรรเสริญพระบารมี" เพื่อแสดงออกถึงความเป็นไทยและถวายความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์และมี "เพลงปลุกใจ" ที่แต่งขึ้นเพื่อปลุกเร้าจิตใจของคนในสังคมไทยให้รวมใจกันเป็นหนึ่ง และเนื่องจากเพลงดังกล่าวล้วนแต่งขึ้นตามหลักไวยากรณ์ดนตรีสากล กับทั้ง
เพลงต้นแบบล้วนใช้วงดนตรีสากลบรรเลงและบันทึกเสียงออกเผยแพร่สู่ประชาชนไทย ดนตรีสากลจึงเข้ามามีบทบาทในค่านิยมด้านการเมืองการปกครองของสังคมไทยด้วย
2.ความเชื่อของสังคมไทยต่อดนตรีสากล
คำว่า "ความเชื่อ" ในที่นี้หมายถึง การยอมรับว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งดี มีคุณประโยชน์หรือมีอยู่จริง ซึ่งความเชื่อนั้นอาจเกิดจากประสบการณ์ตรง หรือเกิดจากการไตร่ตรองและการอนุมานโดยอาศัยความรู้อีกอย่างหนึ่งที่เรียนรู้มาแล้ว
คนในสังคมไทยมีวัฒนธรรมความเชื่อเกี่ยวกับดนตรีเป็นจำนวนมาก เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับความขลังของเสียงดนตรี ความเชื่อว่าเครื่องดนตรีเป็นของสูง การเคารพศรัทธาครูดนตรี การกำหนดเพลงหน้าพาทย์ต่างๆ ขึ้น เพื่อใช้บรรเลงในพระราชพิธีของราชสำนัก เช่น ใช้เพลงสาธุการบรรเลงอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใช้เพลงองค์พระพิราพบรรเลงในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อวัฒนธรรมความเชื่อเกี่ยวกับการใช้ดนตรีสากลประกอบในพิธีศักดิ์สิทธิ์และพิธีการอันเคร่งครัดเผยแพร่เข้ามาในสังคมไทย คนในสังคมสังคมไทยจึงยอมรับได้ ยิ่งทั้งฝ่ายพระราชพิธีและฝ่ายรัฐพิธีนำมาใช้ให้ประชาชนเห็นเป็นประจักษ์ก่อน ประชาชนผู้อยู่ในความปกครองก็ยิ่งมีความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์และความเกรียงไกรของดนตรีสากลนั้น เช่น การบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ เพลงมหาชัยในงานพิธีการต่างๆ
ความเชื่ออีกด้านหนึ่งของคนไทยที่มีต่อดนตรีสากล คือ ความเชื่อด้านการใช้ความรู้และทักษะด้านดนตรีสากลประกอบเป็นวิชาชีพได้ คนไทยยุคเก่าเคยดูแคลนว่าการประกอบอาชีพด้านการแสดงดนตรีเป็นอาชีพที่ต้อยต่ำ เนื่องจากมีรายได้น้อยและไม่จีรังยั่งยืน จึงมีความเชื่อว่าอาชีพนักดนตรี นักร้อง และนักแสดง เป็นอาชีพเต้นกินรำกินแบบหาเช้ากินค่ำ ไม่อาจพัฒนาให้มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัวได้ แต่ในสมัยปัจจุบันนี้การศึกษาวิชาการดนตรีก้าวไกลสู่ระดับสากล ทำให้คนไทยเป็นนักวิชาการดนตรีสากล นักดนตรีสากล นักร้องเพลงสากล ตลอดจนวาทยากรวงดนตรีระดับวิชาชีพจำนวนมาก และหลายคนพัฒนาตนไปสู่ระดับโลก นอกจากนี้ บางท่านก็ได้รับการยกย่องจากมวลชนและองค์กรต่างๆใ้เป็นศิลปินแห่งชาติหรือศิลปินแห่งโลก ตัวอย่างเช่น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งทรงมีพระปรีชาสามารถด้านดนตรีสากลระดับเอกอัครศิลปิน โดยพระองค์ได้รับการทูลกระหม่อมถวายพระเกียรติคุณจากรัฐบาลประเทศออสเตรีย โดยสถาบันการดนตรีและศิลปะแห่งกรุงเวียนนา ให้เป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์หมายเลข 23 ลงวันที่ 24 เดือนกันยายน พ.ศ.2507 พร้อมกับได้รับการบันทึกพระนามลงบนแผ่นศิลาแห่งเกียรติคุณ ณ สถาบันแห่งนั้นด้วย เป็นต้น
WINKWHITE
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น