ศ33101 สังคีตกวีสากล
ดนตรีสากลที่บรรเลงและขับร้องให้เราได้ฟังกันอยู่ในทุกวันนี้ ล้วนเป็นผลงานอันทรงคุณค่าที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของสังคีตกวีด้านดนตรีสากลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งสังคีตกวีแต่ละท่านมีลักษณะการประพันธ์เพลงที่แตกต่างกันออกไป ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จะขอนำเสนอประวติและผลงานของสังคีตกวีสากลที่มีผลงานอันโดเด่นและทรงคุณค่าบางท่านมาอธิบายโดยสังเขป ดังนี้
1. โยฮันเนส บรามส์
1. โยฮันเนส บรามส์
บิดาของบรามส์เป็นนักเล่นดับเบิลเบสและยังเป็นครูดนตรีคนแรกของเขาอีกด้วย บรามส์ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถมากอันโดดเด่นเกินวัย สนใจเครื่องดนตรีทุกประเภท ครูดนตรีคนสำคัญของเขาได้แก่เอด๊วด มาร์กเซ็น ได้สอนเขาอย่างตั้งอกตั้งใจ ด้วยความหวังที่ว่าเขาจะกลายเป็นนักเปียโนเอกในอนาคต โดยได้สอนเทคนิคการเล่นของ บาค โมซาร์ท และ เบโธเฟน ซึ่งกลายเป็นที่จดจำของบรามส์ไปตลอด โดยมิได้ทำลายพรสวรรค์ทางการสร้างสรรค์ของศิษย์
ความสามารถทางการเล่นเปียโนของเขา ทำให้เขาได้เป็นนักดนตรีอาชีพครั้งแรกที่ผับแห่งหนึ่งในนครฮัมบูร์กตั้งแต่มีอายุเพียงสิบสามปี
ในปีพ.ศ. 2396 (ค.ศ. 1853) บรามส์ออกตระเวนเปิดการแสดงกับเพื่อนนักไวโอลิน ชื่อเอด๊วด เรเมนยี ซึ่งทำให้เขามีโอกาสได้พบกับนักไวโอลินชื่อดังแห่งยุค โยเซ็ฟ โยอาคิม ผู้ซึ่งประทับใจฝีมือของบรามส์มาก และยังได้แนะนำให้เขาได้รู้จักกับ ฟรานซ์ ลิซท์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งชูมันน์ กับภรรยา คลาร่า ชูมันน์ ซึ่งเขาได้สนิทสนมด้วยเป็นอย่างดี อิทธิพลของชูมันน์ที่มีต่องานของบรามส์นั้นใหญ่หลวงนัก
ระหว่างปี พ.ศ. 2400 (ค.ศ. 1857) ถึง พ.ศ. 2402 (ค.ศ. 1859) เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะนักร้องประสานเสียงประจำวังของเจ้าชายแห่งเด็ตโมลด์ ในช่วงเวลานี้เองที่เขาได้ประพันธ์เซเรเนดสำหรับวงดุริยางค์ขึ้นสองบท และคอนแชร์โต้สำหรับเปียโนชื้นแรก
ปีพ.ศ. 2405 (ค.ศ. 1862) เขาได้เดินทางกลับสู่นครเวียนนา ชื่อเสียงในฐานะนักดนตรีของเขาเพิ่มขึ้น และได้รับการยกย่องให้เป็น ทายาทดนตรีของเบโธเฟน เพลงสวดเรเควียมของเขาเป็นเครื่องพิสูจน์คำกล่าวนั้นได้เป็นอย่างดี
ในปีพ.ศ. 2413 (ค.ศ. 1870) เขาได้พบกับวาทยกรฮันส์ ฟอน บือโลว์ ผู้ซึ่งมีอุปการคุณต่องานดนตรีของบรามส์เป็นอย่างมากในภายหลัง
ในปีพ.ศ. 2419 (ค.ศ. 1876) บรามส์แต่งซิมโฟนีบทแรกสำเร็จ ได้รับการขนานนามว่าเป็นซิมโฟนีบทที่ 10 ของเบโธเฟน ตามคำกล่าวของบือโลว์ จากนั้นก็มีงานประพันธ์สำหรับวงดุริยางค์ตามมาจำนวนมาก ซิมโฟนีอีกสามบท คอนแชร์โต้สำหรับไวโอลิน คอนแชร์โต้หมายเลขสองสำหรับเปียโน จนกระทั่งถึงผลงานเอกในช่วงบั้นปลายชีวิต นั่นก็คือบทเพลงสำหรับคลาริเน็ท
งานของบรามส์ได้รับอิทธิพลหลากหลาย โดดเด่นด้วยศาสตร์แห่งเคานเตอร์พ้อยท์ และ โพลีโฟนี ความงดงามของบทเพลงที่เขาประพันธ์อยู่ที่รูปแบบคลาสสิกที่ถูกแต่งแต้มด้วยความถวิลหาของยุคโรแมนติก แต่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สีสันทางดนตรีอันบรรเจิด ท่วงทำนองที่สร้างสรรค์ และจังหวะทำให้ประหลาดใจด้วยการสอดประสานกัน
เป็นผลงานส่วนตัวของบรามส์ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ ซึ่งเราอาจนึกว่าจะเข้าใจยากเมื่อแรกได้ยิน แต่เราก็จะเข้าถึงได้และขาดไม่ได้ในที่สุด
นับเป็นหนึ่งในคีตกวีคนสำคัญของประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก ศพของโยฮันเนส บรามส์ถูกฝังไว้ที่สุสานกลางแห่งนครเวียนนา ในส่วนของนักดนตรีคนสำคัญผู้ล่วงลับ
2. อาร์โนลต์ โชนเบิร์ก
- อาร์โนลด์ โชนเบิร์ก เป็นนักประพันธ์เพลงชาวออสเตรีย สัญชาติ อเมริกัน เกิดที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อวันที่ 18 กันยายน 1874 เป็นผู้ คิดค้นระบบ Twelve Tone System คือ การน่าเสียงดนตรีสูงต่่า 12 เสียง มาเรียงต่อกันเป็นล่าดับที่แน่นอนโดยหลีกเลี่ยงไม่ให้มีเสียงหลัก (Tonic) โดยมีหลัก ส่าคัญ คือ ทฤษฎีที่ว่าด้วยเสรีภาพของเสียง และความส่าคัญเท่าเทียมกันของเสียงทุก เสียง และนอกจากนี้เขายังเป็นผู้น่าด้านการเขียนท่านองเพลงที่มีความซับซ้อน ไม่มี บันไดเสียง (Atonal) เป็นงานดนตรีที่เล่นยาก และฟังยาก ผลงานของเขาจึงถูก ปฏิเสธที่จะน่าออกแสดงจากผู้ก่ากับวงและนักดนตรีอยู่เสมอ การประพันธ์ของเขามี ความแตกต่างไปจากดนตรียุคคลาสสิกในยุคก่อนหน้านั้นเป็นอย่างมาก
- 3. โชนเบิร์ก ได้ประพันธ์เพลงไว้หลายรูปแบบ ตามความคิดใน ระหว่างช่วงต่อของดนตรีในแบบโรแมนติกสู่ดนตรีในยุคศตวรรษที่ 20 โดย เริ่มต้นในฐานะผู้ที่เดินรอยตามวากเนอร์ (Wagner), สเตราส์ (R.Starauss), มาห์เลอร์ (Mahler) และบราห์มส์ (Brahms) ผลงานในยุคแรกของโชนเบิร์ก มีลักษณะเป็นบทเพลงในยุคโรแมนติกแบบของวากเนอร์ (Wagner) ซึ่งยังคงมี บันไดเสียงหลัก เพลงในยุคนี้ที่ควรกล่าวถึง คือ Varklarte Nacht, Op. 4 ในช่วงที่สอง ของแนวการประพันธ์มีลักษณะเป็นบทเพลงแบบเอกเพรสชั่นนิซึมที่ไม่มีบันไดเสียงหลัก และไม่มีการแบ่งการใช้คอร์ดเป็นแบบสบายหูหรือระคายหูแต่อย่างใด ทุกอย่างเท่าเทียม กัน
- 4. ตัวอย่างเพลง Varklarte Nacht, Op. 4 (น่าเมาส์มาชี้ที่รูปภาพด้านบนนี้)
- 5. เพลงในยุคนี้ท่าให้โชนเบิร์กเป็นที่รู้จักในฐานะผู้น่าของรูปแบบใหม่ใน วงการดนตรี บทเพลงในช่วงนี้ เช่น ผลงาน 5 บทส่าหรับออร์เคสตรา ผลงาน ล่าดับที่ 16 ในระยะต่อมาซึ่งเป็นช่วงสุดท้าย โชนเบิร์กใช้การประพันธ์เพลงแบบ บันไดเสียง 12 เสียง เพลงในยุคนี้ท่าให้โชนเบิร์กเป็นที่รู้จักในฐานะผู้น่าของรูปแบบใหม่ในวงการ ดนตรี บทเพลงในช่วงนี้ เช่น ผลงาน 5 บทส่าหรับออร์เคสตรา ผลงานล่าดับที่ 16 ใน ระยะต่อมาซึ่งเป็นช่วงสุดท้าย โชนเบิร์กใช้การประพันธ์เพลงแบบบันไดเสียง 12 เสียง
- 6. ผลงานในยุคนี้จัดเป็นผลงานที่มีเอกลักษณ์ของโชนเบิร์ก อย่างชัดเจน เช่น เปียโนคอนแชร์โต สตริงควอเทต หมายเลข 4 และโอเปรา Moses and Aaron
- 7. ตัวอย่างเพลงโอเปรา Moses and Aaron (น่าเมาส์มาชี้ที่รูปภาพด้านบนนี้)
- 8. โชนเบิร์ก ย้ายไปอาศัยอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อฮิตเลอร์ แผ่ขยายอ่านาจในยุโรประหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ในฐานะผู้ประพันธ์เพลง และครูสอนดนตรีในมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย ลองแองเจลีส (UCLA) โดยเปลี่ยนสัญชาติเป็นอเมริกัน และเมื่อเขามีอายุได้ 70 ปี เขาจึงลาออกจากการเป็นศาตราจารย์ในมหาวิทยาลัย แต่ ยังคงสร้างสรรค์ผลงานเรื่อยมาจนถึงแก่กรรมในปี ค.ศ.1951 ขณะอายุได้ 77 ปี
- 9. ตัวอย่างผลงานชิ้นอื่นๆของโชนเบิร์ก Kammersymphonie Op. 9 (น่าเมาส์มาชี้ที่รูปภาพด้านบนนี้)
- 10. ตัวอย่างผลงานชิ้นอื่นๆของโชนเบิร์ก Erwartung Op. 17 (น่าเมาส์มาชี้ที่รูปภาพด้านบนนี้)
- 11. ตัวอย่างผลงานชิ้นอื่นๆของโชนเบิร์ก Five Pieces for Orchestra Op. 16 (น่าเมาส์มาชี้ที่รูปภาพด้านบนนี้)
- 12. ตัวอย่างผลงานชิ้นอื่นๆของโชนเบิร์ก Five Pieces for Piano Op. 23 (น่าเมาส์มาชี้ที่รูปภาพด้านบนนี้)
- 13. นอกจากผลงานด้านดนตรีแล้ว โชนเบิร์กยังมีผลงานเขียนด้วย ได้แก่ ทฤษฎีแห่งเสียงประสาน (Harmonielehre) ในปี 1911 ซึ่งได้รับการแปลเป็น ภาษาอังกฤษ (Theory of Harmony) ในปี 1947 และยังคงเป็นอาจารย์สอน การประพันธ์ดนตรีในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ถือว่ามีคุณค่าต่อ วงการดนตรีต่อๆมา
3. ปีเตอร์ อีลิช ไชคอฟสกี
ปีเตอร์ อิลิช ไชคอฟสกี เป็นคีตกวีชาวรัสเซีย เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2383 (ค.ศ. 1840) ที่เมือง โวทคินสกี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนพ.ศ. 2436 (ค.ศ. 1893) ที่ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
ไชคอฟสกีเกิดในครอบครัวผู้มีอันจะกิน ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างความหรูหราและการอดมื้อกินมื้อ ข่าวอื้อฉาว และความต้องการเป็นที่ยอมรับ เขาได้รับการศึกษาจากวิทยาลัยดนตรีแห่งนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ภายใต้การดูแลของอันทอน รูบินสไตน์ จากนั้นถูกเรียกให้ไปเป็นครูสอนวิชาเรียบเรียงเสียงประสานให้แก่น้องชายของรูบินสไตน์ที่กรุงมอสโก ที่มอสโกนี่เองที่เขาได้ประพันธ์ผลงานสำคัญหลายชิ้น เป็นต้นว่าซิมโฟนีหมายเลขหนึ่ง ชื่อ ความฝันในเหมันตฤดู เขาสมรสในปี พ.ศ. 2420 (ค.ศ. 1877) ด้วยความมุ่งมั่นที่จะรักษาความขัดแย้งภายในตนว่าเขาเป็นพวกรักร่วมเพศ แต่ความล้มเหลวของชีวิตแต่งงาน ที่เป็นที่โจษจันว่าอยู่กันอย่างไร้ความรักกับเจ้าสาวที่เป็นศิษย์ของเขาเอง ทำให้เขาเกือบฆ่าตัวตายสำเร็จ อารมณ์ของเขามั่นคงขึ้นในปี พ.ศ. 2423(ค.ศ. 1880) เมื่อเขาได้ออกเดินทางไปทั่วทวีปยุโรปประเทศอิตาลีได้สร้างแรงบันดาลใจให้เขาประพันธ์ผลงานหลายชิ้น รวมทั้งบทเพลงชื่อ คราพริชิโอ อิตาเลียน(capriccio italien) เขาประสบความสำเร็จหลายครั้งและได้พบปะกับคีตกวีเลื่องชื่อร่วมสมัย เป็นต้นว่า โยฮันเนส บราห์ม แอนโทนิน ดโวชาค ฯลฯ เขาเดินทางไปถึงสหรัฐอเมริกาเพื่อเปิดการแสดง ไชคอฟสกีเสียชีวิตในปีพ.ศ. 2436 (ค.ศ. 1893) ด้วยอหิวาตกโรคแต่บางกระแสกล่าวว่าเขาถูกบังคับให้ดื่มยาพิษฆ่าตัวตาย จากข้อหารักร่วมเพศ
เพลงของเขาเป็นสะพานเชื่อมระหว่างดนตรีตะวันตกกับดนตรีรัสเซีย ด้วยการนำเสนอแบบร่วมสมัย ซึ่งรวมถึงคีตกวีโมเดสต์ มูสซอร์กสกี และ กลุ่มคีตกวีทั้งห้า ซึ่งเขาได้สร้างมิตรภาพกับพวกเขาเหล่านั้นไว้ด้วย
WINKWHITE
WINKWHITE
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น