ลักษณะของบทเพลงไทย

     ลักษณะของบทเพลงไทยมีหลากหลายลักษณะคล้ายบทร้อง  โดยเริ่มจากวรรคหลายวรรคเป็ยบาท และหลายบาทเป็นบท  โดยลักษณะของบทเพลงไทยสามารถจำแนกได้ดังนี้
    1. วรรค ส่วนหนึ่งของทำนองเพลงที่กำหนดโดยความยาวของจังหวะหน้าทับ ทำนองเพลง 1วรรค มีความยาวเท่ากับ 1 จังหวะหน้าทับ
     2. ท่อน  ทำนองเพลงที่มีความยาวตั้งแต่ 2 วรรค ขึ้นไป ที่นำมาเรียบเรียงติดต่อกันเป็นส่วนหนึ่งของบทเพลง
      3. จับ  มีความหมายเดียวกันกับ  ท่อน แต่ใช้เรียกทำนองเพลงเชิดนอกที่ใช้ปี่นอกบรรเลงประกอบการแสดงหนังใหญ่  โดยการแสดงแต่ละครั้งคนเชิดจะเชิดหนังจับออกมา 3 คู่ ในแต่ละคู่ ผู้บรรเลงปี่นอกจะต้องบรรเลงเพลงเชิดนอก 1จับ  ดังนั้น ในการบรรเลงเพลงเชิดนอกที่ถูกต้อง จึงต้องบรรเลงให้ครบทั้ง 3 จับ
     4. ตัว  มีความหมายเดียวกับ ท่อน และ จับ ต่างกันเพียง   ตัว  ใช้สำหรับเรียกสัดส่วนของเพลงบางประเภท  ได้แก่ เพลงตระ และเพลงเชิดต่างๆ  ยกเว้นเพลงเชิดนอกที่เรียกเป็น  จับ อีกทั้งเพลงที่นับเป็นตัวจะมีลักษณะพิเศษ  คือ ทำนองตอนท้ายของทุกตัวนั้นจะลงท้ายเหมือนกัน
    5. เพลง   ทำนองที่ดุริยกวีได้ประพันธ์ขึ้นจากจินตนาการของตนหรือแรงบันดาลใจ  โดยจะมีจังหวะช้าหรือเร็ว หรือยาวไม่เท่ากัน แต่แบบแผนที่ถูกต้องของเพลงไทยโบราณ คือ ท่อนหนึ่งควรมีความยาวไม่น้อยกว่า 2 จังหวะหน้าทับ

           เพลงไทย สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
      1. เพลงขับร้อง  คือเพลงที่ประพันธ์ขึ้นสำหรับดนตรีบรรเลงร่วมกับการขับร้อง ได้แก่
       - เพลงเถา  เพลงๆเดียวที่บรรเลงหรือขับร้องติดต่อกัน โดยมีอัตราขจังหวะลดหลั่นกัน  ตั้งแต่จังหวะ 3 ชั้น (ช้า) ท จังหวะ 2 ชั้น (ปานกลาง) และชั้นเดียว (เร็ว) เช่นเพลงราตรีประดับดาวเถา เป็นต้น
       - เพลงตับ  เพลงหลายๆเพลงที่นำมาบรรเลงหรือขับร้องต่อเนื่องกัน  แบ่งแบ่งย่อยออกเป็น 2 ประเภท  คือ ตับเพลง เป็นเพลงที่นำมาบรรเลงหรือขับร้องกัน โดยต้องเป็นเพลงที่มีอตัราจังหวะเดียวกัน เช่น เพลงตับต้นเพลงฉิ่ง 3 ชั้นประกอบด้วยเพลงต้นเพลงฉิ่ง 3ชั้น เพลงจระเข้หางยาว 3 ชั้น เพลงตวงพระธาตุ 3 ชั้น และเพลงนกขมิ้น 3 ชั้น เป็นต้น   และเพลงตับเรื่อง คือเพลงที่นำมาบรรเลงหรือขับร้องต่อเนื่องกัน  โยมีบทร้องเป็นเรื่องราวเดียวกัน เช่น ตับคาวี เป็นต้น
      - เพลงเกร็ด  เพลงที่นำมาบรรเลงหรือขับร้องอิสระ  ไม่จำเป็นต้องบรรเลงหรือขับร้องร่วมเพลงอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงที่มีบทร้องบรรยายเกี่ยวกับธรรมชาติ การชมความงาม  การอวยพรหรือคติสอนใจ  เช่น เพลงเขมรไทรโยค เพลงแขกสาหร่าย 2 ชั้น เป็นต้น

      2.เพลงบรรเลง คือเพลงที่ประพันธ์ขึ้นเฉพาะสำหรับเครื่องดนตรีบรรเลงได้แก่
      - เพลงโหมโรง  เป็นเพลงที่ใช้บรรเลงเป็นเพลงก่อนการบรรเลงหรือการแสดงจะเริ่ม เช่น เพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง

     - เพลงหน้าพาทย์ เป็นเพลงชั้นสูงที่ใช้บรรเลงในพระราชพิธ  หรืองานที่ต้องการแสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์หรือความขลังหรือบรรเลงประกอบกิริยาอาการต่างๆของผู้แสดงโขนหรือละคร  เช่น เพลงตระนิมิตร  เป็นต้น

    - เพลงเรื่อง  เป็นเพลงที่นำมาบรรเลงติดต่อกันโดยใช้บรรเลงประกอบพิธีต่างๆไม่มีการขับร้องมาเกี่ยวข้อง เช่น เพลงเรื่องทำขวัญ  เป็นต้น

   - เพลงหางเครื่อง เป็นเพลงที่บรรเลงต่อท้ายเพลงใหญ่อาจมีสำเนียงเดียวกับเพลงใหญ่ หรือเป็นเพลงหางเครื่องที่กำหนดไว้ประจำเฉพาะ  ซึ่งเพลงส่วนใหญ่มีทำนองสั้นๆและมีจังหวะสนุกสนาน

   - เพลงออกภาษา   เป็นเพลงที่มีสำเนียงเป็นภาษาต่างๆ ที่บรรเลงติดต่อกันหลังจากบรรเลงเพลงแม่บทจบ  โดยมีลักษณะคล้ายเพลงหางเครื่อง ต่างกันตรงที่มิได้บรรเลงเพียงสำเนียงเดียว เช่น เมื่อบรรเลงเพลงแม่บทจบ  นิยมบรรเลงออกด้วยเพลงภาษา  เริ่มด้วยสำเนียงจีน  เขมร ตะลุง และพม่า  จากนั้นจะะเลือกบรรเลงเพลงสำเนียงแขก ฝรั่ง  ญี่ปุ่น  ลาว ญวณ ข่า  เงี้ยว เพลงใดต่อก่อนก็ได้  ทั้งนี้เพลงออกภาษาอาจหมายถึงเพลงที่มีสำเนียงภาษาสอดแทรกอยู่ในทำเพลงก็ได้ เช่น  เพลงพม่าห้าท่อน  เป็นต้น

    - ลูกหมด เป็นเพลงที่มีทำนองสั้น  จังหวะเร็ว แสดงนัยว่า เพลงที่บรรเลงนั้นจะจบลงแล้ว





WINKWHITE

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บุคคลสำคัญในวงการนาฏศิลป์

เครื่องหมาย และสัญลักษณ์ในดนตรีสากล

วิวัฒนาการของดนตรีไทยในแต่ละยุคสมัย (สมัยรัตนโกสินธ์)