วิวัฒนาการของดนตรีไทยในแต่ละยุคสมัย (สมัยรัตนโกสินธ์)
สมัยรัตนโกสินธ์
ดนตรีในสมัยรัตนโกสินทร์มีการพัฒนาต่อเนื่องมาจากดนตรีไทยในสมัยอยุธยา สามารถกล่าวในแต่ละช่วงของรัชกาลได้ ดังต่อไปนี้
1. สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช (รัชกาลที่ 1 ) พระองค์ได้ทรงฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมขึ้น โดยทรงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์และเรื่องดาหลังให้สมบูรณ์ ซึ่งเป็นวรรณคดีที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยวรรณคดีทั้ง 2 เรื่อง ใช้ในการแสดงโขนและการแสดงละคร จึงนับเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้บทเพลงต่างๆ ในอดีตถูกฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง เพราะละครไทยต้องอาศัยเพลงบรรเลงประกอบ
นอกจากนี้ ครูดนตรีได้เพิ่มกลองทัดขึ้นในวงปี่พาทย์อีกลูกหนึ่ง ซึ่งแต่เดิมวงปี่พาทย์จะมีกลองทัดเพียงลูกเดียว ลูกที่เพิ่มขึ้นเสียงต่างออกไป ทำให้เกิดเสียง 2 เสียงขึ้น คือ เสียงสูงตีดัง ต้อม ดดยจะเรียกลูกที่มีเสียงสูงว่า ตัวผู้ และลูกเสียงที่มีเสียงต่ำจะเรียกว่า ตัวเมีย
2. สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2 ) ในสมัยนี้ดนตรีไทยได้เจริญรุ่งเรืองขึ้น โยยพระองค์ทรงส่งเสริมด้านวรรณคดีและการละคร ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง อิเหนาและเรื่องรามเกียรติ์ขึ้นอีกสำนวนหนึ่ง เพื่อให้เหมาะแก่การแสดงละครในมากยิ่งขึ้นจนวรรณคดีเรื่องอิเหนาได้รับการยกย่องว่าเป็นกลอนบทละครที่ดีที่สุด
ส่วนด้านดนตรีก็เฟื่องฟูขึ้นเช่นเดียวกัน ดังปรากฏในพระราชประวัติของพระองค์ว่าทรงสีซอสามสายได้เป็นเลิศ ทรงมีซอคู่พระหัตถ์ เรียกว่า ซอสายฟ้าฟาด และมีเพลงพระราชนิพนธ์ใหม่เกิดขึ้น คือ เพลงบุหลันลอยเลื่อน ในสมัยนี้เกิดวงปี่พาทย์เสภา และได้มีการนำกลองสองหน้ามาใช้ตีกำกับจังหวะหน้าทับในวงปี่พาทย์เสภาอีกด้วย
3. สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3 ) ในสัมยนี้วงดนตรีได้มีการประดิษฐ์ระนาดทุ้มขึ้น เพื่อให้เป็นคู่กับระนาดเอก โดยทำตามแบบระนาดเอกของเดิม คือ ให้มีลูกระนาดขนาดใหญ่กว่า เพื่อให้เกิดเสียงทุ้มต่ำ แล้วบรรเลงระนาดทุ้มให้มีเสียงผิดแปลกไปจากระนาดเอก ส่วนลีลาการบรรเลงระนาดทุ้มนั้นก็ให้มีลีลาที่หยอกล้อไปกับระนาดเอก บางครั้งอาจตีล้ำหน้า บางครั้งตีเยื้องแนวลีลาไปข้างหลัง
นอกจากระนาดทุ้มเพิ่มขึ้นแล้ว ในด้านการบรรเลงบทเพลงก็ได้มีการนำเพลงอัตราจังหวะสองชั้นมาแต่งขยายเป็นอัตราจังหวะสามชั้นและแต่งตัดเป็นอัตราจังหวะชั้นเดียว พร้อมทั้งวงนำเพลงทั้งสามอัตราจังหวะมาเรียบเรียงเป็นเพลงเถา เครื่องดนตรีที่คิดขึ้นในสมันนี้ คือ ฆ้องวงเล็ก
4. สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4 ) การดนตรีเจริญแพร่หลายมากยิ่งขึ้น มีวงปี่พาทย์ วงมโหรี เกิดขึ้นมากมาย มีการบรรเลงเพลงอัตราจังหวะสามชั้นกันอย่างแพร่หลาย มีเครื่องดนตรีเกิดขึ้นใหม่อีกด้วย คือ ระนาดทอง (ระนาดเอกเหล็ก) ระนาดทองเป็นระนาดแบบเดียวระนาดเอก แต่ทำลูกระนาดด้วยทองเหลืองแทน เวลาตีเสียงจะดังกังวานมาก
นอกจากนี้ ยังมีเครื่องดนตรีอีกชนิดหนึ่งคู่ระนาดทอง นั่นก็คือ ระนาดทุ้มเหล็ก เพื่อเพิ่มเติมในวงปี่พาทย์ ทำให้มีการพัฒนาเป้นวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่
5.สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5 ) ได้มีการคิดวิธีประสมวงดนตรีขึ้นใหม่อีกรูปแบบหนึ่ง คือ วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ซึ่งเป็นการปรับปรุงวงของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ที่ได้ทรงปรับปรุงขึ้นเพื่อใช้ประกอบการแสดงละครดึกดำบรรพ์ที่ดัดแปลงมาจากละครโอเปร่า (Opera) ของตะวันตก
ในการนี้ทำให้เกิดเครื่องดนตรีขึ้นใหม่อีกชนิดหนึ่ง คือ ตะโพน (ใช้ตะโพน 2 ใบ) ตั้งตีบนกลองทัด โดยตีด้วยไม้นวม เพื่อให้เกิดเสียงทุ้มต่ำดังกังสาน และไม่ดังกึกก้อง ซึ่งเหมาะสำหรับการแสดงละครดึกดำบรรพ์เป็นอย่างมาก
6. สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6 ) การบรรเลงดนตรีนิยมร้องรับเป็นเพลงเถาอย่างแพร่หลาย ก่อนหน้านี้ก็มีการบรรเลงกันบ้างแต่มานิยมกันมากในสมัยนี้ เพลงเถานั้นอาจต่อด้วยลูกหมดท้ายเพลงหรือไม่ก็ได้
เครื่องดนตรีที่ประดิษฐ์ขึ้นในสมัยนี้ได้แก่ อังกะลุง ซึ่งหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ได้นำแบบอย่างมาจากเครื่องดนตรีของอินโดนีเซีย เมื่อคราวตามเสด็จพระราชบิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดชเสด็จเยือนอินดดนีเซีย เมื่อ พ.ศ.2459 แต่ได้มีการดัดแปลงให้มี 7 เสียง (ของเดิม 5 เสียง) และได้จัดให้เขย่าคนละ 2 มือ มือละ 1 เสียง
นอกจากนี้ได้นำเพลงจากชวามาดัดแปลงเป็นเพลงไทยอีกด้วย เช่น เพลงยะวา เพลงโหมโรงบูเซ็นซ็อค เพลงสะมารัง เป็นต้น
7. สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7 ) เป็นช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณ์อาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย ในสมัยนี้เกิดเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกและประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบนั้นด้วย พระองค์ทรงศึกษาดนตรีจนมีพระปรีชาสามารถในการเล่นดนตรีดนตรีและทรงพระราชนิพนธ์เพลงไทยไว้ 3 เพลง คือ เพลงราตรีประดับดาวเถา เพลงเขมรละออองค์เถา และเพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่งสามชั้น
นักดนตรีและนักประพันธ์เพลงในสมัยของพระองค์มีมากมายหลายท่านเช่น หลวงประดิศฐ์ ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) นายมนตรี ตราโมท เป็นต้น แต่เนื่องจากความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกและการเมืองไทย ทำให้ดนตรีและเพลงไทยได้รับผลกระทบและขาดความนิยมลง
8. สมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (รัชกาลที่ 8 ) เป็นระยะที่ดนตรีไทยซบเซา เนื่องจากการขาดการสนับสนุนจากหลายส่วน รวมไปถึงคนไทยที่นิยมหันไปเล่นดนตรีแบบตะวันตกด้วย ทำให้การประพันธ์เพลงในสมัยนี้มีการนำทำนองเพลงของสากลเข้ามาผสมผสานโดยมีผู้นำทำนองเพลงไทยใส่เนื้อร้องเต็มตามทำนองบ้าง แต่งขึ้นเองบ้าง เพื่อประกอบละครพูด ละครประวัติศาสตร์และภาพยนต์ มีนักประพันธ์เพลงขึ้นหลายท่าน เช่น พรานบูรพ์ (จวงจันทร์ จันทร์คณา ) หลวงวิจิตรวาทการ (กิมเหลียง วัฒนปฤดา) นายล้วน ควันธรรม เป็นต้น
WINKWHITE
ดนตรีในสมัยรัตนโกสินทร์มีการพัฒนาต่อเนื่องมาจากดนตรีไทยในสมัยอยุธยา สามารถกล่าวในแต่ละช่วงของรัชกาลได้ ดังต่อไปนี้
1. สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช (รัชกาลที่ 1 ) พระองค์ได้ทรงฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมขึ้น โดยทรงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์และเรื่องดาหลังให้สมบูรณ์ ซึ่งเป็นวรรณคดีที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยวรรณคดีทั้ง 2 เรื่อง ใช้ในการแสดงโขนและการแสดงละคร จึงนับเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้บทเพลงต่างๆ ในอดีตถูกฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง เพราะละครไทยต้องอาศัยเพลงบรรเลงประกอบ
นอกจากนี้ ครูดนตรีได้เพิ่มกลองทัดขึ้นในวงปี่พาทย์อีกลูกหนึ่ง ซึ่งแต่เดิมวงปี่พาทย์จะมีกลองทัดเพียงลูกเดียว ลูกที่เพิ่มขึ้นเสียงต่างออกไป ทำให้เกิดเสียง 2 เสียงขึ้น คือ เสียงสูงตีดัง ต้อม ดดยจะเรียกลูกที่มีเสียงสูงว่า ตัวผู้ และลูกเสียงที่มีเสียงต่ำจะเรียกว่า ตัวเมีย
2. สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2 ) ในสมัยนี้ดนตรีไทยได้เจริญรุ่งเรืองขึ้น โยยพระองค์ทรงส่งเสริมด้านวรรณคดีและการละคร ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง อิเหนาและเรื่องรามเกียรติ์ขึ้นอีกสำนวนหนึ่ง เพื่อให้เหมาะแก่การแสดงละครในมากยิ่งขึ้นจนวรรณคดีเรื่องอิเหนาได้รับการยกย่องว่าเป็นกลอนบทละครที่ดีที่สุด
ส่วนด้านดนตรีก็เฟื่องฟูขึ้นเช่นเดียวกัน ดังปรากฏในพระราชประวัติของพระองค์ว่าทรงสีซอสามสายได้เป็นเลิศ ทรงมีซอคู่พระหัตถ์ เรียกว่า ซอสายฟ้าฟาด และมีเพลงพระราชนิพนธ์ใหม่เกิดขึ้น คือ เพลงบุหลันลอยเลื่อน ในสมัยนี้เกิดวงปี่พาทย์เสภา และได้มีการนำกลองสองหน้ามาใช้ตีกำกับจังหวะหน้าทับในวงปี่พาทย์เสภาอีกด้วย
3. สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3 ) ในสัมยนี้วงดนตรีได้มีการประดิษฐ์ระนาดทุ้มขึ้น เพื่อให้เป็นคู่กับระนาดเอก โดยทำตามแบบระนาดเอกของเดิม คือ ให้มีลูกระนาดขนาดใหญ่กว่า เพื่อให้เกิดเสียงทุ้มต่ำ แล้วบรรเลงระนาดทุ้มให้มีเสียงผิดแปลกไปจากระนาดเอก ส่วนลีลาการบรรเลงระนาดทุ้มนั้นก็ให้มีลีลาที่หยอกล้อไปกับระนาดเอก บางครั้งอาจตีล้ำหน้า บางครั้งตีเยื้องแนวลีลาไปข้างหลัง
นอกจากระนาดทุ้มเพิ่มขึ้นแล้ว ในด้านการบรรเลงบทเพลงก็ได้มีการนำเพลงอัตราจังหวะสองชั้นมาแต่งขยายเป็นอัตราจังหวะสามชั้นและแต่งตัดเป็นอัตราจังหวะชั้นเดียว พร้อมทั้งวงนำเพลงทั้งสามอัตราจังหวะมาเรียบเรียงเป็นเพลงเถา เครื่องดนตรีที่คิดขึ้นในสมันนี้ คือ ฆ้องวงเล็ก
4. สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4 ) การดนตรีเจริญแพร่หลายมากยิ่งขึ้น มีวงปี่พาทย์ วงมโหรี เกิดขึ้นมากมาย มีการบรรเลงเพลงอัตราจังหวะสามชั้นกันอย่างแพร่หลาย มีเครื่องดนตรีเกิดขึ้นใหม่อีกด้วย คือ ระนาดทอง (ระนาดเอกเหล็ก) ระนาดทองเป็นระนาดแบบเดียวระนาดเอก แต่ทำลูกระนาดด้วยทองเหลืองแทน เวลาตีเสียงจะดังกังวานมาก
นอกจากนี้ ยังมีเครื่องดนตรีอีกชนิดหนึ่งคู่ระนาดทอง นั่นก็คือ ระนาดทุ้มเหล็ก เพื่อเพิ่มเติมในวงปี่พาทย์ ทำให้มีการพัฒนาเป้นวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่
5.สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5 ) ได้มีการคิดวิธีประสมวงดนตรีขึ้นใหม่อีกรูปแบบหนึ่ง คือ วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ซึ่งเป็นการปรับปรุงวงของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ที่ได้ทรงปรับปรุงขึ้นเพื่อใช้ประกอบการแสดงละครดึกดำบรรพ์ที่ดัดแปลงมาจากละครโอเปร่า (Opera) ของตะวันตก
ในการนี้ทำให้เกิดเครื่องดนตรีขึ้นใหม่อีกชนิดหนึ่ง คือ ตะโพน (ใช้ตะโพน 2 ใบ) ตั้งตีบนกลองทัด โดยตีด้วยไม้นวม เพื่อให้เกิดเสียงทุ้มต่ำดังกังสาน และไม่ดังกึกก้อง ซึ่งเหมาะสำหรับการแสดงละครดึกดำบรรพ์เป็นอย่างมาก
6. สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6 ) การบรรเลงดนตรีนิยมร้องรับเป็นเพลงเถาอย่างแพร่หลาย ก่อนหน้านี้ก็มีการบรรเลงกันบ้างแต่มานิยมกันมากในสมัยนี้ เพลงเถานั้นอาจต่อด้วยลูกหมดท้ายเพลงหรือไม่ก็ได้
เครื่องดนตรีที่ประดิษฐ์ขึ้นในสมัยนี้ได้แก่ อังกะลุง ซึ่งหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ได้นำแบบอย่างมาจากเครื่องดนตรีของอินโดนีเซีย เมื่อคราวตามเสด็จพระราชบิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดชเสด็จเยือนอินดดนีเซีย เมื่อ พ.ศ.2459 แต่ได้มีการดัดแปลงให้มี 7 เสียง (ของเดิม 5 เสียง) และได้จัดให้เขย่าคนละ 2 มือ มือละ 1 เสียง
นอกจากนี้ได้นำเพลงจากชวามาดัดแปลงเป็นเพลงไทยอีกด้วย เช่น เพลงยะวา เพลงโหมโรงบูเซ็นซ็อค เพลงสะมารัง เป็นต้น
7. สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7 ) เป็นช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณ์อาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย ในสมัยนี้เกิดเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกและประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบนั้นด้วย พระองค์ทรงศึกษาดนตรีจนมีพระปรีชาสามารถในการเล่นดนตรีดนตรีและทรงพระราชนิพนธ์เพลงไทยไว้ 3 เพลง คือ เพลงราตรีประดับดาวเถา เพลงเขมรละออองค์เถา และเพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่งสามชั้น
นักดนตรีและนักประพันธ์เพลงในสมัยของพระองค์มีมากมายหลายท่านเช่น หลวงประดิศฐ์ ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) นายมนตรี ตราโมท เป็นต้น แต่เนื่องจากความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกและการเมืองไทย ทำให้ดนตรีและเพลงไทยได้รับผลกระทบและขาดความนิยมลง
8. สมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (รัชกาลที่ 8 ) เป็นระยะที่ดนตรีไทยซบเซา เนื่องจากการขาดการสนับสนุนจากหลายส่วน รวมไปถึงคนไทยที่นิยมหันไปเล่นดนตรีแบบตะวันตกด้วย ทำให้การประพันธ์เพลงในสมัยนี้มีการนำทำนองเพลงของสากลเข้ามาผสมผสานโดยมีผู้นำทำนองเพลงไทยใส่เนื้อร้องเต็มตามทำนองบ้าง แต่งขึ้นเองบ้าง เพื่อประกอบละครพูด ละครประวัติศาสตร์และภาพยนต์ มีนักประพันธ์เพลงขึ้นหลายท่าน เช่น พรานบูรพ์ (จวงจันทร์ จันทร์คณา ) หลวงวิจิตรวาทการ (กิมเหลียง วัฒนปฤดา) นายล้วน ควันธรรม เป็นต้น
WINKWHITE
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น